Tuesday, September 26, 2023
Home Blog

มัดรวมความเคลื่อนไหว”รถจีน”มุ่งไทย สู่เจ้าตลาดโลก

สำหรับจีนแน่นอนว่าอุตสาหกรรมใหญ่ที่เติบโตและกำลังขยายตัวไปทั่วโลกส่วนหนึ่งมาเปิดการขายการตลาดในไทย นี่คือ ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ

ผู้ประกอบการ สถานะ
1.Geely (จีน: 吉利汽车)จัดตั้งบริษัท ไตรมาส4ปี2566
2.BYD Auto (จีน: 比亚迪)เปิดจำหน่ายแล้วเมื่อ2565
3.Great Wall Motors (จีน: 长城汽车)เปิดจำหน่ายแล้วเมื่อ2564
4.Chery (จีน: 奇瑞汽车)จัดตั้งบริษัท เปิดตัวไตรมาส4ปี2566
5.Dongfeng Motor Corporation (จีน: 东风汽车公司)บ.เปิดดำเนินการ
6.FAW Group (จีน: 一汽集团)เริ่มจำหน่ายรถบรรทุกปี2012
7.SAIC Motor Corporation (จีน: 上汽集团)ร่วมทุนซีพี ผลิต-จำหน่ายMG-2556
8.GAC Group (จีน: 广汽集团)เตรียมลงทุน6400ลบเปิดแบรนด์AION ต้นปี2567 
9.Brilliance Auto (จีน: 华晨汽车)ยังไม่มีความเคลื่อนไหวในไทย
10.Zotye Auto (จีน: 众泰汽车)- โซทาย  ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
11.NATAเปิดจำหน่ายแล้วเมื่อ ส.ค.2565
12 ฉางอัน ออโตโมบิล (Changan Automobile)18 เม.ย 66 ลงทุนผลิตรถในไทย 9800ลบ.
13.Foton Motor Group เปิดจำหน่ายรถบรรทุกปี2563
14.ดองแฟง แยงซี มอเตอร์ วูฮั่นจำหน่ายรถบัส เริ่มตั้งแต่ปี2010
รวบรวมโดยthaiautopress.com

เจาะโปรแกรมช่วยเหลือฉุกเฉิน24ชั่วโมง Premium Care จุดเด่นบริการรวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย

บริษัท ที.วี.ซี.คาร์แคร์ จำกัด  เปิดตัว บริการใหม่“Premium Care”เพื่อดูแลรถยนต์โปรแกรมช่วยเหลือฉุกเฉิน24ชั่วโมงบน แพลทฟอร์มออนไลน์ รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Android และIOS

     นายธิบดี หาญประเสริฐ (Thibodee Harnprasert -President)กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.วี.ซี. คาร์แคร์ จำกัด(T.V.C. CARCARE CO,.LTD) ผู้ให้บริการดูแลรักษารถยนต์ครบวงจร ภายใต้เครื่องหมายการค้า  “พรีเมี่ยม” (Premium)  เปิดเผยว่า   บริษัทได้ขยายการบริการรูปแบบใหม่ ได้แก่  “Premium Care”  บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน 24 ชม.ทั่วประเทศ ด้วยระบบ Application บนโทรศัพท์มือถือ ที่ใช้งานง่ายสะดวก รวดเร็ว ทันสมัย เหมาะกับสังคมในยุคปัจจุบัน ซึ่งรองรับระบบปฏิบัติการทั้ง Android และ IOS ลูกค้าที่สนใจสามารถสมัครเป็นสมาชิกรายปี ในราคาที่สบายๆ เมื่อเทียบกับการบริการที่ได้รับ

“แพลตฟอร์มการ ช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน24ชั่วโมง เกิดกจากความรู้ความเชี่ยวชาญของที.วี.ซี. คาร์แคร์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และ การดูแลรักษาสภาพรถยนต์ ทำให้ ที วี ซี คาร์แคร์ มีความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคการบริการ การขนส่ง เป็นอย่างดี”

Premium Care Mobile App  แพลตฟอร์มช่วยเหลือฉุกเฉิน24ชั่วโมงโดย มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก คือ ผู้ใช้รถยนต์นั่ง รถเอนกประสงค์ทุกประเภททั้งรถใหม่และรถใช้แล้ว  รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโต  เพื่อความอุ่นใจในการใช้งานประจำวัน ให้บริการครอบคลุมทั้งในเมือง ชานเมืองและต่างจังหวัด

“เราภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือลูกค้า ให้สามารถเข้าถึงการบริการรถเสียฉุกเฉินรูปแบบใหม่ มีความปลอดภัยและได้รับการบริการที่รวดเร็ว แม่นยำ จากความสามารถทางเทคโนโลยีที่ เราได้พัฒนาขึ้น”


 Premium Care Mobile App ออกแบบเพื่อให้มีประสิทธิภาพ โดยอินเตอร์เฟรด มีความชัดเจน เข้าถึงง่ายและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ออกแบบระบบให้ตอบสนองการให้บริการช่วยเหลือ ที่จำเป็นต้องใช้รถลากหรือรถยก พร้อมบริการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิคแก่ลูกค้า นอกจากนี้ ยังได้รับความสะดวก จากฟังก์ชั่นSOS บริการเชื่อมต่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉินในคลิกเดียว

   “การเป็นสมาชิก Premium Care นี้ เท่ากับการสมัคร 1 อย่าง ได้ประโยชน์ถึง 3 อย่าง ในราคาที่สุดคุ้มค่า คือสมาชิก 1 ปีในราคา 995 บาท (ราคารวม VAT) หรือ วันละ 2.73 บาทเท่านั้น  ทางบริษัทตั้งใจที่จะยกระดับการให้บริการแก่สมาชิก ด้วยมาตรฐาน สร้างความไว้วางใจในงานบริการ และสะดวกรวดเร็ว ที่สามารถเข้าถึงง่าย”นายธิบดีกล่าว

เงื่อนไขการให้บริการ Premium Care โดยสังเขป

1/ สิทธิการบริการกรณีที่รถที่เกิดเหตุจำเป็นต้องทำการยกโดยรถ Slide เนื่องจากรถ ประเภท  Hybrid, EV หรือรถยุโรปโดยทั่วไปไม่สามารถลากจูงได้ จำเป็นต้องใช้วิธียกทั้งคัน กรณียกรถสมาชิกจะรับสิทธิการยกรถฟรี 1  ครั้งต่อปีในระยะไม่เกิน 20 กม.แรก ส่วนเกินจะคิดเป็นอัตราต่อกม. โดยจะทำการแจ้งให้สมาชิกทราบก่อนการดำเนินการ  ในกรณีพ่วงแบต เปลี่ยนยาง หรือเสียโดยไม่ทราบสาเหตุ การให้บริการช่วยเหลือจะออกไปให้บริการฟรีโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งตลอดอายุสมาชิก 1 ปี

2/ สิทธิในการได้รับส่วนลดในการเป็นสมาชิก พรีเมี่ยมแคร์ โดยท่านสมาชิกจะได้รับส่วนลดในการใช้บริการกับธุรกิจที่เข้าร่วมรายการกับ Premium Care อาทิเช่น โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร ร้านค้า อู่ซ่อมรถ ซ่อมสี ศูนย์บริการรถยนต์ และอื่นๆ โดยทางบริษัทจะเพิ่มจำนวนธุรกิจที่เข้าร่วมรายการให้มากขึ้นทุกๆเดือน

3/ สิทธิในการใช้ระบบการแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน(SOS) เป็นการเพิ่มบริการ เพื่อความปลอดภัยในชีวิต และ ทรัพย์สินของสมาชิก อาทิเช่น เกิดอุบัติเหตุกับบุคคลในครอบครัว เกิดคนร้ายเข้ามาในบ้าน เกิดเพลิงไหม้ เกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือกรณีบุคคลในครอบครัวขับรถไปในสถานที่ดูไม่ปลอดภัย เมื่อประสบเหตุดังกล่าว สมาชิกหรือบุคคลที่ระบุไว้ในระบบ เพียงกดปุ่ม SOS ทางเจ้าหน้าที่ ศูนย์ Call Center จะรีบโทรกับไปสอบถามเหตุในทันที เมื่อทราบเหตุ ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการประสานไปยังหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในทันที ทั้งในระดับประเทศ และในระดับท้องที่ เพื่อให้เข้าทำการช่วยเหลือโดยด่วน

Premium Care เป็นการทำงานด้วย Mobile App  เป็นผู้ให้บริการหนึ่งเดียวของวงการบน แพลตฟอร์ม ช่วยเหลือรถฉุกเฉิน 24 ชม. ทั่วประเทศ โดยมีจุดเด่นดังนี้

  1.  บริการแจ้งเหตุออนไลน์ผ่าน Application “Premium Care” ไม่ต้องรอการรับสายนาน
  2. รถเสียฉุกเฉินเช่นแบตหมด ยางรั่ว ไม่ทราบสาเหตุ ช่วยได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
  3. สมาชิกสามารถติดตามการช่วยเหลือแบบ Real Time
  4. ด้วยระบบ Application ที่ทันสมัย ออกแบบให้เข้าจุดเกิดเหตุได้อย่างแม่นยำ
  5. สมาชิกสามารถเห็นรูป ชื่อ-นามสกุล และทะเบียนรถ ของพนักงานที่จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
  6. ทั้งสมาชิก หน่วยให้ความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ Call Center สามารถเห็นการเคลื่อนที่บนมือถือ
  7. ใช้ได้ทั้งระบบ ปฏิบัติการ Android & IOS

วิธีการทำใบขับขี่

เรื่องของการทำใบขับขี่มีเรื่องที่ต้องน่ารู้ มากมายลองมาดูกันว่า คุณพร้อมทำใบขับขี่หรือยัง
ซึ่งเรารวบรวมข้อมูลที่จำเป็นมาฝาก

เทคนิคขับรถสำหรับผู้หญิง ตอน: เอาตัวรอดจากทางแคบ-ทางชัน

ทางแคบ ทางชัน เป็นทางที่เขย่าขวัญ นักขับมานักต่อนัก โดยเฉพาะคนขับที่ไม่มีประสบการณ์  พอเจอทางชัน เช่นคอสะพาน ไปจนถึงภูเขา  สร้างความกังวล ต่อการเดินทาง

เดินตลาด ซับคอมแพค5 ประตู

รถยนต์แบบ5 ประตูหรือเรียกว่าแฮทแบคกลายเป็นรถที่ผู้คนนิยมและได้รับการยอมรับในปัจจุบันจากอดีต

GWM TANK 500 สเปคไทย

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดสเปกเต็มรูปแบบของ All New GWM TANK 500ก่อนการเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการ 28 กันยายนนี้!!

กรุงเทพฯ 15 ก.ย.2566 – เกรท วอลล์ มอเตอร์ เขย่ากระแสตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอีกครั้ง กับการเตรียมเปิดตัว All New GWM TANK 500 รถยนต์เอสยูวีพรีเมียมออฟโรดจากแบรนด์ TANK ที่อัดแน่นด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังและเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตั้งใจออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กิจกรรมการผจญภัยของคนยุคใหม่ รวมถึงเอาใจผู้ขับขี่สายออฟโรดชาวไทย การันตีคุณภาพด้วยยอดจองสิทธิ์ซื้อกว่า 1,000 คันและรางวัลThe Most Exciting SUV Awardจากงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2566


All New GWM TANK 500 
รถยนต์เอสยูวีรุ่นล่าสุดจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ เป็นรถยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มออฟโรดอัจฉริยะ TANK ที่ทรงประสิทธิภาพทั้งด้านพละกำลัง สมรรถนะ และเทคโลยีที่ล้ำสมัย มาพร้อมกับดีไซน์ที่บึกบึนและแข็งแกร่ง ในขณะที่แฝงไปด้วยความเรียบง่ายและหรูหรา ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ความจุ 1.76 กิโลวัตต์ ให้กำลังเครื่องยนต์สูงสุด 244 แรงม้า พร้อมแรงบิดเครื่องยนต์สูงสุด 380 นิวตัน–เมตร  และกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 106 แรงม้า พร้อมแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 268 นิวตัน-เมตร ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 สปีด (9HAT) ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลาย ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึง 11 รูปแบบ ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด โหมดอัตโนมัติ และโหมดออฟโรด ได้แก่ โหมดพื้นโคลน โหมดพื้นทราย โหมดพื้นหิน โหมด4L โหมด4H โหมดพื้นหิมะ และโหมดเชี่ยวชาญ สะท้อนสุนทรียภาพแห่งการผจญภัยด้วยแนวคิด “Nothing is Unreachable ไม่มีความสำเร็จไหนที่ไปไม่ถึง” ที่จะสร้างความตื่นเต้น ความแตกต่าง และประสบการณ์ที่เหนือชั้นให้กับทุกเส้นทาง

All New GWM TANK 500 ถูกสร้างสรรค์มาด้วยปรัชญาการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานในทุกมิติตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถ ตามลักษณะที่เป็น DNA ของ TANK ที่มีความแข็งแกร่ง ทะมัดทะแมง แต่เปี่ยมไปด้วยความเรียบหรูและสง่างาม ด้วยมิติตัวรถ 1934 x 5078 x 1905 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ใหญ่กว้างขวางที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน มาพร้อมระยะฐานล้อ 2850 มม. ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิ้ล ครอส อาร์ม และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงค์ ให้การขับขี่ที่ยึดเกาะถนนและนั่งสบายเพื่อตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการลุยน้ำที่ระดับความลึก 800 มม. ทำให้ผู้ขับขี่พร้อมทะยานอย่างไม่มีขีดจำกัดในทุกสถานการณ์ กระจังหน้าขนาดใหญ่ผสานช่องระบายอากาศแนวนอนและโลโก้ TANK ที่รับเส้นสายที่นูนขึ้นของฝากระโปรง ไฟหน้า Intelligent LED โดดเด่นทั้งในเรื่องให้ความสว่างและความปลอดภัยด้วยระบบอัจฉริยะ อาทิ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง (Follow Me Home) พร้อม Daytime Running Light และไฟตัดหมอกด้านหน้าและหลังแบบ LED ในขณะที่ดีไซน์ด้านหลังนั้นถูกออกแบบภายใต้แนวคิดออฟโรด ด้วยประตูท้ายแบบ Horizontal ที่มาควบคู่กับระบบดูดไฟฟ้าเพื่อผ่อนแรงและอำนวยความสะดวกสบายในการปิดประตูท้าย ไฟท้าย Vertical LED ที่มาพร้อมไฟเบรกดวงที่สามและไฟตัดหมอกแบบ LED อย่างเต็มระบบ ตอบโจทย์ทั้งแฟชันและฟังก์ชันได้อย่างลงตัว บันไดข้างที่เปิด–ปิดด้วยระบบไฟฟ้า หลังคาซันรูฟระบบไฟฟ้าแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ที่มาพร้อมราวหลังคา เพื่อเพิ่มการใช้งานเสาอากาศแบบ Shark Fin และสปอยเลอร์ท้าย ยกระดับภาพลักษณ์การขับขี่ที่หรูหรามั่นใจด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว และยางขนาด 265/50 R20

การออกแบบทั้งภายนอกและภายในของ All New GWM TANK 500 มาพร้อมกับแนวคิด Luxury ที่ให้ทั้งความหรูหรา กว้างขวาง และสะดวกสบาย ใส่ใจทุกรายละเอียดด้วยวัสดุสีดำ สีดำเงา สีโครเมียม และสีเงิน แผงคอนโซลหน้าและชุดเกียร์แบบ Electronic Shifter สีทูโทน นาฬิกาแบบคลาสสิก เบาะหนัง NAPPA ลำโพง Infinity 12 ตัวที่พร้อมมอบความบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบร่วมกับระบบแอมพลิฟายเออร์อิสระและระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ ฟังก์ชันไฟตกแต่งห้องโดยสารแบบหลากสีและเป็นจังหวะ เพื่อสร้างบรรยากาศภายในให้เพลิดเพลิน ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา ระบบกรองอากาศ PM2.5 และระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย เพื่อช่วยให้การชาร์จโทรศัพท์มือถือเป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

เพื่อความสะดวกสบายในทุกมิติของการเดินทาง All New GWM TANK 500 มาพร้อมกับเบาะนั่งไฟฟ้าคู่หน้า ระบบเบาะนวดไฟฟ้า ระบบดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า ระบบระบายอากาศ และเบาะหนัง NAPPA เพื่อช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าให้ผู้ขับขี่ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง มีระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat เพิ่มความสะดวกในการขึ้น-ลงรถ เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับแบบไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง มีปุ่มปรับตำแหน่งเบาะผู้โดยสารด้านหน้าจากด้านคนขับ เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 มีหน้าจอควบคุมระบบระบายอากาศ และเบาะระบายอากาศ เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 3 มีพนักพิงปรับแบบไฟฟ้าที่เพิ่มความสะดวกด้วยตำแหน่งปรับพนักพิงบริเวณข้างประตูผู้โดยสารแถวที่ 2 และประตูท้าย ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนของเบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 สามารถแยกพับเบาะได้แบบ 60:40 และเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับเรียบ เพื่อเพิ่มพื้นที่และความสะดวกในการใช้สอยตามอเนกประสงค์ได้อย่างเต็มที่

All New GWM TANK 500 ได้นำเสนอความสามารถในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่โดยเฉพาะ ด้วยหน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว ซึ่งรองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, Bluetooth, ระบบนำทาง, และแสดงข้อมูลการขับขี่ โดยหน้าจอกลางอัจฉริยะนี้สามารถเชื่อมต่อกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า เพื่อเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัยและง่ายดาย อีกทั้งรถยนต์รุ่นนี้ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวของการขับขี่ด้วยพวงมาลัยปรับแบบไฟฟ้า 4 ทิศทาง ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงและสวิตช์ควบคุมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ ระบบเปิด-ปิดล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้และออกห่างจากรถ ระบบกุญแจ Smart Key และระบบ Push Start

นอกจากนี้  All New GWM TANK 500 ยังเพรียบพร้อมไปด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบออฟโรดอันชาญฉลาดและล้ำสมัย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและความมั่นใจในทุกการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบล็อกเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง (Front & Rear Electric Differential Locks) ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดของยานพาหนะเมื่อเผชิญกับทางลาดชัน โคลน ทะเลทราย และภูมิประเทศที่ซับซ้อนอื่น ๆ ด้วยกลไกการถ่ายโอนกำลัง ทำงานร่วมกันกับกลไกล็อกของกล่องถ่ายโอนทั้งล้อหน้าและล้อหลัง สร้างระบบขับเคลื่อนออฟโรดแบบ 3 locks เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ออฟโรดที่ดีเยี่ยม
  • ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK Turn) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน เมื่อระบบตรวจพบความตั้งใจในการบังคับเลี้ยวมากเกินไป ระบบจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อหลังด้านในเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยว เพื่อช่วยให้รถสามารถเลี้ยวในวงแคบได้
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Off-road (Offroad Cruise Control) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน ระบบจะควบคุมเครื่องยนต์และระบบเบรกโดยอัตโนมัติให้รถวิ่งด้วยความเร็วต่ำและความเร็วสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้ขับขี่ไม่เสียสมาธิและเพิ่มความปลอดภัยจากการควบคุมรถบนสภาพถนนที่ซับซ้อน
  • ระบบตรวจจับความลึกของน้ำ (Wading Depth Detection) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน ระบบจะประเมินความลึกของระดับน้ำและแสดงผลของระดับน้ำประกอบภาพรถบนหน้าจอกลาง เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่เมื่อขับผ่านสภาพถนนที่มีน้ำท่วมขัง
  • ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน ระบบจะจดจำข้อมูลของพื้นที่รอบเส้นทางการขับขี่ของกล้องรอบตัวรถและสร้างภาพเสมือนแบบ 360 องศา จากมุมมองด้านบนของตัวรถ ในลักษณะแบบโปร่งใสเห็นพื้นผิวถนนด้านล่าง และแสดงภาพด้านหน้าของรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่ทราบถึงสภาพถนนใต้ท้องรถ เพิ่มความปลอดภัยและประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น All New GWM TANK 500 มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่และระบบความปลอดภัยมากมาย ให้ทุกการเดินทางปลอดภัยไร้กังวล ได้แก่

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA)
  • ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP)
  • ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA)
  • กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา
  • ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) และระบบช่วยเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ (MEB)
  • ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA/ RCTB)
  • ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
  • ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA)
  • ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM)
  • ระบบช่วยลงทางลาดชัน (HDC) และระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA)
  • ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW)
  • ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS)

 All New GWM TANK 500 ยังจัดเต็มไปด้วยฟังก์ชันอัจฉริยะ (Intelligent Functions) ที่มาช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ขับขี่อย่างครบวงจรในทุกมิติ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยียนตกรรมของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น การอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) การสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Command) และ การควบคุมและเชื่อมต่อฟังก์ชันของรถยนต์ผ่าน GWM Application แม้ในขณะผู้ขับขี่จะอยู่ในระยะที่ไกลจากตัวรถ เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ การล็อกและปลดล็อกประตู การค้นหารถยนต์ การปิดหน้าต่าง การปิดซันรูฟ การควบคุมระบบระบายความร้อนของเบาะ การแสดงตำแหน่งรถยนต์ การกำหนดรัศมีการใช้งานรถ และระบบตรวจสอบสถานะอื่น ๆ 

All New GWM TANK 500 มาพร้อมกับ 2 รุ่นย่อยให้แฟน ๆ ชาวไทยได้จับจอง ได้แก่ รุ่น ULTRA และรุ่น PRO โดยมีเฉดสีรถภายนอกทั้งหมด 4 เฉดสี ได้แก่ สีขาว สีดำ สีเทา และสีใหม่เทาคริสตัล (เฉพาะรุ่น ULTRA) และเฉดสีรถภายในทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ และทูโทนสีน้ำเงิน-เบจ (เฉพาะรุ่น ULTRA และตัวรถสีเทาคริสตัล)

World Premiere #Mitsubishi “ALL-NEW #TRITON

เปิดตัวมิตซูบิชิ ไทรทัน กระบะดฉมใหม่ครั้งแรกในโลก Live

เอ็มจีซี-เอเชีย นำเข้าโรลส์-รอยซ์ เรธ อีเกิล 8

โรลส์รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ โรลส์รอยซ์ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจ มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชียหรือ เอ็มจีซีเอเชีย ได้นำเข้า โรลส์รอยซ์ เรธ อีเกิล 8’ ยนตรกรรมรุ่นพิเศษเพื่อนักสะสม เพื่อจัดแสดงที่งาน ‘The Pinnacle of Luxury 2019’ ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2562 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยหลังการมาถึงเพียงไม่นาน ก็ถูกจับจองเป็นที่เรียบร้อย

 

กฤษฎา สวามิภักดิ์ผู้จัดการทั่วไป โรลส์รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก กล่าวว่า “บริษัทฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ยนตรกรรมสุดพิเศษคันนี้ถูกจับจองอย่างรวดเร็ว ซึ่งประเทศไทยได้โควต้าเพียง คัน จากการผลิตจำกัดเพียง 50 คันทั่วโลก

 

โรลส์รอยซ์ เรธ อีเกิล ผลิตขึ้น ณ ศูนย์กลางแห่งความเป็นเลิศในการผลิตยนตรกรรมลักซ์ชัวรีระดับโลก ที่เมืองกู๊ดวูด สหราชอาณาจักร เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 100 ปี ของประวัติศาสตร์การเดินทางอันยิ่งใหญ่ กับความกล้าหาญของกัปตันจอห์น อัลค็อก และ ร้อยโทอาร์เธอร์ บราวน์ ผู้ประสบความสำเร็จในการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยไม่จอดพัก เป็นครั้งแรกในโลก ช่วงปี 2462 โดยนำวัสดุชั้นเลิศ ไม่ว่าจะเป็นทองคำเงินทองแดง และทองเหลือง มาใช้ตกแต่งยนตรกรรมที่ได้แรงบันดาลใจจากอากาศยาน

 

ผู้ที่สนใจ สามารถมายลโฉมและดื่มด่ำกับรายละเอียดอันงดงามของ โรลส์รอยซ์ เรธ อีเกิล รวมถึง โรลส์รอยซ์ แฟนธอม และ โรลส์รอยซ์ คัลลิแนน ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2562 ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

รู้จัก เซอิจิ วาตานาเบะ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ บิดาแห่งมิตซูบิชิ ไทรทันยุคใหม่

“วาตานาเบะ”ผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น

ได้ออกมาพูดถึง   แนวคิดในการออกแบบรถยนต์ “Mitsubishi XRT Concept” ที่เปิดตัวในไทยไปแล้ว เรามาดูว่า เขาคือใคร

เซอิจิ วาตานาเบะ  เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Tsukuba, School of Art and Design ในปี 1987 เคยทำงานครั้งแรกกับ นิสสันมาตั้งแต่ปี 2530 แะเมื่อเดือนเมษายน 2563 วาตานาเบะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่องค์กรและเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Mitsubishi Motors Corporation เขารับผิดชอบ วิสัยทัศน์การออกแบบใหม่สำหรับ Mitsubishi Motors มีรากฐานมาจากแบรนด์คอนเซ็ป Drive your Ambition

วาตานาเบะเข้าร่วมงานกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ คอร์ป ( Mitsubishi Motors Corporation )ในปี 2561 ในตำแหน่ง Executive Design Director หลังจากดำรงตำแหน่ง Program Design Director ที่นิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor Corporation) ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งในนิสสันเขาได้รับผิดชอบงานออกแบบที่โดดเด่นสำหรับทั้งแบรนด์ นิสสัน และ อินฟินิตี้  เช่น นิสสัน  Skyline R34 GT-R, อินฟินีโตี้  G coupe, จู๊ค(Juke) นิสสัน Titan, นิสสัน Maxima และ อินฟินีตี้  QX50 เขายังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของนิสสัน ดีไซด์ อเมริกา ตั้งแต่ปี 2554-2556 

วาตานาเบะประจำอยู่ที่เมืองโอกาซากิ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตและวิจัยและพัฒนาที่สำคัญแห่งหนึ่งของ มิตซูบิชิ และดูแลสตูดิโอออกแบบในโตเกียวและโอกาซากิ รวมถึงแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี

เส้นทางอาชีพ:วาตานาเบะ

2020 (เมษายน): เจ้าหน้าที่องค์กรและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการออกแบบของ Mitsubishi Motors Corporation
พ.ศ. 2562: รองประธานและผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการออกแบบ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น
พ.ศ. 2561: ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น
2016: ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบโปรแกรมของ Infiniti, Global Design Center, Nissan Motor Corporation
2556: ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ Global Design Center นิสสัน มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น
2554: ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ Nissan Design America
2553: หัวหน้าฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ Global Design Center บริษัท Nissan Motor Corporation
2546: รองประธานฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ Global Design Center บริษัท Nissan Motor Corporation
2530: เข้าร่วมแผนกออกแบบ Nissan Motor Corporation

สำหรับ รถกระบะใหม่ล่าสุดของค่ายมิตซูได้แก่  Mitsubishi XRT Concept” โดยแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้น มีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการต่อสื่อมวลชนเมื่อ 31มีค.2566

XRT ย่อมาจากคำว่า Extremely Robust Triton หรือ Extremely Reborn to Toughness หมายถึง รถกระบะ ไทรทัน รุ่นใหม่! ปฏิวัติใหม่ในทุกอณูให้แกร่งทนทาน และปราดปรียวกว่าเดิม เป็นรถกระบะ ที่มีสมรรถนะดีเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์ออกแบบของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส
ซจิ วาตานาเบะ หัวหน้าออกแบบมิตซูบิชิ มอเตอร์

การออกแบบรถยนต์ Mitsubishi XRT Concept ได้รับแรงบันดาลใจจากคำญี่ปุ่น 3 คำ คือ “KAKU” (คาคุ)  “TAN” (ทัน)  และ “JUN” (จุน)  ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้กับลูกค้าของเรา


“KAKU” หมายถึง ความมั่นใจ ความกล้าหาญ และเปิดใจรับ

“TAN” หมายถึง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่สะท้อนความบึกบึน

“JUN” หมายถึง ความเรียบง่ายและประณีตที่ทันสมัยเหนือกาลเวลา

เพื่อถ่ายทอดความทนทานและสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง รถต้นแบบคันนี้จึงมีลวดลายคล้ายกับลาวาที่อัดแน่นไปด้วยพลังงาน เห็นได้จากแถบคาด 10 เส้น ที่เป็นดีไซน์เฉพาะของแรลลี่อาร์ท ที่จะสะท้อนแสงตามมุมต่างๆ

แพลทฟอร์มของรถ Mitsubishi XRT Concept ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด  โดยซุ้มล้อหน้าได้รับการปรับให้ไปอยู่ด้านหน้ามากขึ้น เป็นการปรับสัดส่วนของเสาเอ กับตำแหน่งล้อให้สัมพันธ์กัน  ทำให้ห้องโดยสารมีขนาดกว้างขึ้น สะดวกสบายกว่าเดิม ด้วยขนาดพื้นที่ห้องโดยสารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น   ช่วยให้เบาะนั่งแถวแรกกับแถวที่สองมีพื้นที่มากขึ้น นั่งสบาย เป็นห้องโดยสารที่ดีที่สุดในกลุ่มรถกระบะ   ด้านหน้าปรับการออกแบบให้เข้มขึ้น ดุดัน มุ่งมั่น ซึ่งแตกต่างจากเดิม เห็นมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในสไตล์ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

มอเตอร์วอร์ ศึกนี้เริ่มที่ 2547

เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น้อยคนจะจดจำมาถึงปี2566 ก่อนที่ธุรกิจจัดแสดงรถยนต์ไทยจะรุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้โดยภาคเอกชนนั่นคือ ความพยายามของค่ายรถที่ต้องการปลดพันธนาการ”งานโชว์รถ”เพื่อลดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่และให้งานโชว์รถ จัดโดยองค์กรกลางแบบต่างประเทศ ไม่ใช่จัดโดยบริษัทเอกชน-(EP1)

เวทีโชว์รถใหม่ ที่ดูยิ่งใหญ่สมกับธุรกิจพันล้านยังคงอยู่ในการครอบครองของสองผู้นำตลาด คือ บางกอก มอเตอร์โชว์ ที่ไบเทค ซึ่งจัดโดยกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล(GPI)กับงานมหกรรมยานยนต์ โดยบริษัท สื่อสากล จำกัดจัดที่เมืองทองธานี 
ในเชิงธุรกิจแล้วมีการแข่งขันของสองงานนี้แม้จะไม่รุนแรงแต่ก็มีเชื้อปะทุเป็นช่วงๆส่วนใหญ่จบลงด้วย ความเป็นเพื่อนของเจ้าของงานทั้งสองอุณหภูมิความขัดแย้งสูงขึ้นหรือต่ำลงหรือไม่ขึ้นก็อยู่กับระยะเวลาของการ จัดแบ่งผลประโยชน์ ทุกอย่างลงตัวสงครามก็จบ
 แต่ขุมทรัพย์งานโชว์รถปีล่ะพันล้าน ก็เป็นที่หมายตาขององค์กรหนึ่งในฐานะศูนย์รวมผู้ผลิตรถโดยตรงนั่นคือ สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตามนโยบายที่ต้องการจัดงานแสดงรถยนต์เอง โดยไม่ผ่านทั้งกรังด์ปรีซ์ และสื่อสากล เนื่องจากมองว่า ราคาค่าที่นั้นสูงขึ้นทุกปีและงานแสดงรถที่มีสองงานต่อปีเป็นภาระแก่พวกเขา
ทั้งที่เรื่องนี้เคยเงียบหายไปในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ล่าสุด  Organisation Internationale des Constructeurs d'Automobiles" (OICA) หรือ โอไอซีเอ ได้บรรจุงานแสดงรถยนต์เมืองไทยลงในทำเนียบเพื่อให้การรับรอง โดย

ระบุว่า งานแสดงรถยนต์โดยสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในวันที่ 8 – 16 พฤษภาคม 2547 ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ซึ่งหมายถึงการประกาศตัวชนกับกรังปรีซ์ ในฐานะเจ้าตลาด ส่วนมหกรรมยานยนต์ นั้นดูเหมือนจะถูกท้าทายด้วยเช่นกันแต่ลึกๆ แล้ว สื่อสากล เคยเสนอว่า หากสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะจัดงานเอง สื่อสากลก็พร้อมจะเป็นออกาไนเซอร์ให้ในขณะที่ท่าทีของ กรังด์ปรีซ์ แข็งกร้าวต่อเรื่องนี้
สิ่งนี้เองทำให้ กรรมการบริหารสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ต้องเผชิญหน้ากับ เจ้าพ่อมอเตอร์โชว์
แผนจัดงานของสมาคม ทำให้ในปี 2547 นั้นวงการแสดงรถยนต์เมืองไทย มีผู้จัดงานถึง 3 ราย

ยิ่งในยุคอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่กำลังเบ่งบาน เพราะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีอนาคตมั่นคงและปรับตัวอย่างมีศักยภาพในการรับการขยายการลงทุน ท่ามกลางตลาดที่มีขนาดใหญ่ รากฐานที่มั่นคงส่งผลให้ธุรกิจที่ต่อยอดสามารถเติบโตได้เร็ว รวมถึงงานแสดงรถและชิ้นส่วน อุปกรณ์ยานยนต์ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ  ออกาไนเซอร์งานแสงดรถยนต์ก็มีมากขึ้นเพราะเห็นโอกาศทางการตลาดไม่เว้นแม้แต่ การแสดงรถยนต์มือสอง

ในช่วงเวลานั้น มีการปรากฏตัวของ บริษัท พี.เอส.เอ็น.ไทยอินเตอร์เวิลด์ จำกัด ผู้ดำเนินการจัดแสดงสินค้า, บริการ และวิชาการ ที่เตรียมที่จัดงานมหกรรมรถยนต์มือสองครั้งแรกในเมืองไทย ถือเป็นน้องใหม่ของวงการ ที่เผยโฉมหน้าออกมา
งานมหกรรมรถยนต์มือสอง จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 4พฤศจิกายน 2546 รวม 5 วัน โดยใช้สนามกีฬาหัวหมาก ซึ่งจะใช้พื้นที่แสดง 5 หมื่น ตร.ม.
มูลค่ารวมของตลาดรถยนต์มือสอง การเปลี่ยนมือของรถมือสองมีมูลค่าสูงเพียงพอที่จะเข้ามาบริหารจัดการในปีแรกของการจัดงาน พี.เอส.เอ็น.คาดว่า จะมีผู้เข้าชมอย่างน้อย 5 แสนคนตลอด 5 วัน ขณะที่คาดว่าจะมีเงินสะพัดกว่า 1,000 ล้านบาท พี.เอส.เอ็น.จะทำให้การซื้อขายรถมือสองตื่นตัวมากขึ้น การจัดงาน การควบคุมคุณภาพ ไม่น่าเป็นห่วง จากพื้นฐานที่ผู้บริหารเคยทำตลาดรถมือสองมาก่อนย่อมรู้ดีกว่า ตลาดต้องการอะไร นอกจากนี้ หากมองให้ลึกลงไป ถึง”ตัวหนุน ตัวช่วยแล้ว” ผลงานแค่การเคลียร์สถานที่จัดงาน ซึ่งไม่เปิดให้ธุรกิจนอกไลน์กีฬาเข้าไปใช้มากนัก ก็เรียกว่า สอบผ่านยกแรกอย่างไม่ต้องสงสัย และช่วงเวลานั้น ปีถัดไปของ พี.เอส.เอ็น.ก็เล็งไปที่เมืองทองธานีเนื่องจากมีความสะดวกมากกว่า


งานน้องใหม่ของวงการรถรถมือสอง เกิดขึ้นช่วงเวลนั้น อุตสาหกรรมต้นน้ำ ก็มีความเข้มข้น มีการจัดงานแสดงชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์ประกอบ และธุรกิจเชื่อมโยง ที่เกี่ยวข้อง ก็มีศึกกันประปราย เพราะ ช่วงนั้นมีผู้จัดใหญ่ 2 รายใหญ่นั่นคือ งานสมาคมชิ้นส่วน ภายใต้ชื่อ Asia Auto Parts & Repair Expo ซึ่งจัดที่ไบเทค กับงาน AUTO COMPONENTS & AFTERMARKET 2003 (AA’03) ซึ่งจัดโดยบริษัท ฮันโนเฟอร์แฟร์ เอเชีย จำกัด
ดูเหมือนงานของสมาคมในยุคที่มี ยงเกียรติ์ กิตะพาณิชย์ แห่งสมบูรณ์กรุ๊ปเป็น นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย จะกุมความได้เปรียบ เพราะว่า สมาชิกเหนียวแน่น การจัดงาน Asia Auto Parts & Repair Expo มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดงาน โดยการขยายพันธมิตรให้มากขึ้นกว่าเดิม มีการ ผนึกกันระหว่างสมาคมชิ้นส่วน 3 ชาติ คือ ไทย จีน และอินเดีย นั่นคือ หากสมาคมใดจัดงาน สองสมาคมที่เหลือก็จะเข้าไปร่วมแสดงด้วยเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่คนซื้อและทำให้งานดูใหญ่โตขึ้น


ในขณะที่งานแสดงรถยนต์ใช้แล้วและชิ้นส่วน มีความคึกคักผู้จัดหน้าใหม่เข้าตลาดได้แต่ สำหรับงานแสดงรถยนต์ใหม่ดูเหมือนไม่ง่าย เพราะตลาดยังถูก ครอบครองจาก 2 ผู้นำ นั่นคือ บางกอก มอเตอร์โชว์ ที่ไบเทค(ขณะนั้น) ซึ่งจัดโดยกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (GPI) กับงานมหกรรมยานยนต์ โดยบริษัท สื่อสากล จำกัด ที่ เมืองทองธานี
ดูเหมือนบรรยากาศการแข่งขันของสองงานนี้จะไม่รุนแรง แต่เชื้อที่ปะทุใหม่กำลังทำให้อุณหภูมิความขัดแย้งสูงขึ้นอีก คือ เกิดแนวทางใหม่ ที่ทำให้เกิดองค์กรกลางมาจัดงาน ได้แก่ สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่ต้องการจัดงานแสดงรถยนต์เอง โดยไม่ผ่านทั้งกรังด์ปรีซ์ และสื่อสากล
ก่อนหน้านี้ เรื่องที่สมาคมฯจะชัดงานเอง เคยส่งสัญญาณมาระยะหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งมีฟีดแบคในเชิงลบทันทีจากผู้นำทั้ง2 ทำให้เวลานั้น สมาคมฯต้องอ่อนท่าทีลงไปและเก็บความเคลื่อนไหวไว้เงียบๆ ทำให้ เรื่องนี้เงียบไปในช่วงเวลาหนึ่ง แต่สุดท้าย เรื่องกลับมา ร้อนฉ่า เมื่อ องค์กรที่ให้การรับรอง งานแสงดรถยนต์นานาชาติ Organisation Internationale des Constructeurs d’Automobiles” (OICA) หรือ โอไอซีเอ ได้บรรจุงานแสดงรถยนต์ ของ สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 8 – 16 พฤษภาคม 2547 ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ลงในทำเนียบเพื่อให้การรับรอง
ซึ่งการรับรองของโอไอซีเอ นี้มีผลต่อ บรรดาบริษัทแม่ของค่ายรถที่ นิยมจัดรถคอนเซ็ปคาร์หรือ การเทงบไปในงานที่ โอไอซีเอ ลงปฎิทินไว้เพราะเขา เคยชินกับงานอื่นๆ ที่โอไอซีเอ รับรองมาตรฐาน

ก่อนหน้านี้ อย่างที่เล่าไว้ สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยนั้น เคยเผชิญหน้ากับ กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้จัดงานรายใหญ่ ซึ่งมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับการที่สมาคมฯจะเอางานไปจัดเอง ซึ่ง กรังปรีซ์และสื่อสากล มองว่า เขาได้สร้างตลาดงานแสดงรถยนต์ของไทยขึ้นมาด้วยน้ำแรง ทำไมจะมายึดไปเฉยๆ เพราะค่ายรถ ต้องเลือก ออกงานของสมาคมฯ อยู่แล้ว จัดงานเองไม่แสดงเองคงแปลกพิลึก ซึ่งมีคำถามว่า ปี 2547 วงการแสดงรถยนต์เมืองไทย มีผู้จัดงาน มอเตอร์รวม3 ราย ค่ายรถคงไม่จ่ายงบไปออกงานครบทั้ง 3เป็นแน่


ตลอดเวลา ในเมืองไทยมี เสียงใคร่ครวญจากผู้ประกอบการรถยนต์ ว่า ค่ายรถต้องออกงานแสดงรถยนต์หลายงาน ทำให้มีภาระที่จะต้องเตรียมงานมากกว่าปกติ นี่ไม่รวมค่าเช่าพื้นที่ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เวลานั้นบรรยากาศของวงการรถครุกรุ่นมากทีเดียว ประเมินกันว่า หากการเจรจาระหว่างผู้จัดงานรายเดิม กับสมาคม ไม่ลงตัว ยังเป็นเหมือนเส้นขนานคงได้เห็นศึกใหญ่
เรื่องนี้ใช้เวลาพักใหญ่สุดท้าย-จบลงด้วยการถอนตัวของสมาคมฯ โอไอซีเอ ถอนชื่อสมาคมออกและ ต่อมาเกิดการลาออกจากตำแหน่งของผู้บริหารระดับสูง บริษัทต้นสังกัด ที่ทำงานให้สมาคมฯ จากนั้นมา 2547-2566 ก็ไม่มีดำริถึงการนำเอาองค์กรกลางมาจัดงานแสดงรถยนต์ในเมืองไทยอีกเลย
(โปรดติดตาม ตอนต่อไป)

เผยผลวิจัยระบุ คนชลอซื้อรถยนต์ไฟฟ้าห่วง”ค่าไฟ”แพงในอนาคต ในขณะที่ค่าน้ำมันแพง ยุโรปลดการเดินทาง

ชี้แนวโน้มรถยนต์ราคาพุ่ง เปิดโอกาส รถราคาประหยัดทำตลาดการวิจัยล่าสุดของ Continental Mobility Study พบว่ากว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางและราคายานพาหนะ “รถราคาจับต้องได้”มีโอกาส

ฮันโนเวอร์ -30 มิ ย 65 – ผู้คนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางและราคายานพาหนะ นี่เป็นหนึ่งในการค้นพบที่สำคัญจากการวิจัย Continental Mobility Study 2022 (ยานพาหนะและการเดินทาง) ที่จัดทำโดย คอนติเนนทอล ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของโลก


ผลวิจัยล่าสุดระบุว่า สถานการณ์ของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและ ราคาพลังงานที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นภัยคุกคามที่จะระงับการเปลี่ยนแปลงของยานพานหนะในเยอรมนี หากพูดถึงเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับรถยนต์ซึ่งมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นกับพลเมืองชาวเยอรมันส่วนใหญ่ จากผลสำรวจพบว่ามีเพียง 44% ของชาวเยอรมันที่อยากให้ยานพาหนะในอนาคตจะเป็นแบบไฟฟ้า
อย่างไรก็ตามการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ถูกมองว่าเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญสำหรับชาวเยอรมัน เมื่อเทียบกับราคาไฟฟ้า น้ำมันเบนซิน และนำมันดีเซลที่มีราคาสูง นอกจากนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจในเยอรมนีจะไม่สามารถขับรถได้อีกต่อไป หากราคาน้ำมันเบนซินเกิน 2.80 ยูโรต่อลิตร
ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามไม่พร้อมที่จะใช้จ่ายกับยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (รถยนต์ไฟฟ้า)มากกว่ารถยนต์ทั่วไป ในขณะเดียวกันเกือบครึ่งหนึ่ง (43 %) ระบุว่าค่าใช้จ่ายที่สูงนี้เป็นเหตุผลในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
ความเห็นกลุ่มตัวอย่างระบะว่า รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือ การอุดหนุนราคา เพื่อให้แน่ใจว่าสัดส่วนของรถยนต์ปลอดมลพิษจะเพิ่มขึ้น และเหนือสิ่งอื่นใดคือเพื่อให้แน่ใจว่าการเดินทางโดยรวมยังคงมีราคาที่ไม่แพง”

“Nikolai Setzer ซีอีโอของคอนติเนนทอลกล่าว ผลการศึกษาล่าสุดแสดงให้เห็นว่าผู้คนทั่วโลกต้องการการขับขี่ที่ปลอดภัยมากขึ้น สะดวกมากขึ้น และยั่งยืนมากขึ้นด้วย แต่สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องมีราคาที่จับต้องได้”

ค่าไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นและการขาดข้อมูลเป็นอุปสรรคต่อยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

การศึกษาระบุว่าค่าใช้จ่ายและโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่เพียงพอนั้นเป็นอุปสรรคต่อความต้องการที่สูงขึ้นสำหรับการยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 2ใน3ของผู้ตอบแบบสำรวจในเยอรมนีรู้สึกว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการซื้อและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ตอบแบบสำรวจ 67 % ไม่แน่ใจเกี่ยวกับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเนื่องจากค่าไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้น โดยรวมแล้ว คนส่วนใหญ่ (62 %) จึงไม่คิดว่าตนเองจะสามารถซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ในอนาคตอันใกล้นี้

อย่างไรก็ตามผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มองว่าเป็นสิ่งสำคัญหรือสำคัญมากที่วัสดุที่ใช้สำหรับรถยนต์ของพวกเขานั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน นอกจากนี้มาตรฐานทางสังคมและสิทธิมนุษยชนยังได้รับการสนับสนุนระหว่างการผลิตและตลอดห่วงโซ่อุปทาน ในขณะเดียวกันผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมที่จะจ่ายเบี้ยประกันภัยสำหรับวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลในรถยนต์ของตน เช่นเดียวกับการใช้เชื้อเพลิงที่ได้จากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานงานสะอาดจากไฮโดรเจน

รถไฟฟ้า ราคาที่เอื้อมไม่ถึง

โดยทั่วไปแล้วผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (73 %) กังวลว่าจะไม่มียานพาหนะที่อยู่ในราคาที่เอื้อมถึงได้อีกต่อไป เนื่องจากต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้น ดังนั้นมากกว่า4ใน5ของผู้ตอบแบบสอบถาม (82%) คิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องประกันว่ายังคงมียานพาหนะที่ราคาสมเหตุสมผล
นอกจากนี้ 77% มองว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะต้องแน่ใจว่ายานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีราคาต่ำกว่ายานพาหนะที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์สำหรับประเทศนอร์เวย์ซึ่งรวมอยู่ในการศึกษาด้านยานพาหนะและการเดินทางเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสามารถใช้บทบาทการออกกฎเชิงรุกได้ รัฐบาลนอร์เวย์ส่งเสริมการซื้อรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและออกแคมเปญต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลโดยเฉพาะ

Steffen Schwartz-Höfler หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืนของคอนติเนนทอลอธิบายว่า “การศึกษา Continental  Mobility Study 2022 แสดงให้เห็นว่าผู้คนเห็นชอบต่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษต่ำหรือปราศจากมลพิษซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นและพร้อมที่จะใช้เส้นทางนั้นเช่นกัน ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษา Continental Mobility Study ทั่วโลกประจำปีนี้แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคภาคเอกชนไม่เต็มใจที่จะแบกรับภาระทางการเงินของการเปลี่ยนแปลงด้านยานพาหนะนี้เพียงลำพัง หากโครงการนี้ประสบความเร็จตามจังหวะที่จำเป็น รูปแบบใหม่ของการเคลื่อนที่แบบยั่งยืนจะต้องมีราคาที่เอื้อมถึง เมื่อนั้นพวกเขาถึงจะได้รับแต่การตอบรับในเชิงบวก”

โควิด-19 ใช้รถเป็นพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น

คนส่วนใหญ่ในประเทศเยอรมนีนิยามรถยนต์ว่าเป็นส่วนสำคัญของความคล่องตัว และพื้นที่ใช้สอยส่วนตัว

ผู้คนต้องการให้รถของพวกเขามีเทคโนโลยีล่าสุด เช่น คนส่วนใหญ่ต้องการให้รถของพวกเขาเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ล่าสุด ตลอดจนข้อมูลการจราจรและสิ่งแวดล้อม ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าระบบช่วยเหลือทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่พึงประสงค์หรือแม้กระทั่งเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็น หนึ่งในสี่ต้องการฟังก์ชันต่างๆ เช่น การขับขี่อัตโนมัติระหว่างรถติด

พวกเขากังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาที่ไม่อาจควบคุมได้จากการใช้เทคโนโลยี ไม่เพียงแต่ข้อผิดพลาดในซอฟต์แวร์เท่านั้นที่อาจบั่นทอนการทำงานหรือความปลอดภัยของรถ แต่เทคโนโลยีอาจทำให้รถยนต์ซับซ้อนและใช้งานยากเกินไป อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ยังคิดว่าการขับรถอัตโนมัติสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ Gilles Mabire ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของคอนติเนนทอลออโตโมทีฟกล่าวว่า “แนวโน้มทั่วไปที่เปิดเผยโดยการศึกษาวิจัยนี้ก็คือ ตัวรถเองและเทคโนโลยีที่ประกอบอยู่ภายในนั้นจะต้องยังคงใช้งานได้ง่าย ปลอดภัย และมีราคาจับต้องได้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่าการเชื่อมต่อ ระบบอัตโนมัติ และประสบการณ์ของผู้ใช้มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ใหม่ ฟังก์ชันความสะดวกสบายจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า เราเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ยานยนต์ใหม่ของเรา เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีและพร้อมสำหรับความท้าทายในอนาคต”

เกี่ยวกับงานวิจัยThe Continental Mobility Study 2022

ตั้งแต่ปี 2554 บริษัทเทคโนโลยีคอนติเนนทอลได้ดำเนินการทำ Continental Mobility Study ศึกษาเรื่องยานพาหนะและการเดินทางในหัวข้อสำคัญต่างๆ เป็นระยะๆ สำหรับฉบับปี 2565 ร่วมกับ สถาบันวิจัยการตลาดและ สังคม infas      คอนติเนนทอลได้สำรวจผู้คนจำนวน 6,000 คนที่อายุเกิน 18 ปีในประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส นอร์เวย์ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีนในเดือนพฤษภาคม 2565 เกี่ยวกับข้อกำหนดด้านานพาหนะและการเดินทางส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างในแต่ละประเทศจะเป็นตัวแทนของประชากร สำหรับประเทศจีนนั้นเป็นตัวแทนของประชากรในเมือง จุดมุ่งหมายของ Continental Mobility Study ซึ่งขณะนี้อยู่ในฉบับที่ 7 คือการให้การเปรียบเทียบระหว่างประเทศของทัศนคติของผู้คนที่มีต่อการพัฒนาด้านการเคลื่อนไหวทั้งในปัจจุบันและอนาคตและพฤติกรรมการใช้งานส่วนบุคคล
หัวข้อที่กล่าวถึงในการศึกษาการขับเคลื่อนในปี2565 ได้แก่ ความต้องการด้านยานพาหนะโดยทั่วไป ทัศนคติต่อความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ตลอดจนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ท่ามกลางฉากหลังของการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส การศึกษานี้เน้นที่บทบาทของรถยนต์ในฐานะสถานที่หลบภัยที่เป็นไปได้และเป็นสถานที่พักผ่อนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและวันหยุดพักผ่อน

วอลโว่ คาร์ เปิดตัวVolvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid ในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2021

วอลโว่ (VOLVO) เดินหน้าสร้างปรากฏการณ์แห่งโลกยานยนต์ ตอกย้ำความทุ่มเทในการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม เปิดตัวรุ่นรถอัพเกรด Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid สุดยอดนวัตกรรมยานยนต์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดโฉมใหม่ ครั้งแรกในประเทศไทยที่งาน “ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2021” ณ บูธรถยนต์วอลโว่ (A08) ระหว่างวันที่  1 – 12 ธันวาคม 2564 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี นอกจากนี้ยังยกขบวนรถยนต์วอลโว่อีกหลากหลายรุ่นไปให้ยลโฉมและร่วมสัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษ อาทิ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ Volvo XC40 Recharge Pure Electric, และรุ่นยอดนิยม Recharge Plug-in Hybrid เช่น Volvo S60,Volvo V60, Volvo S90, Volvo XC40, Volvo XC60 และ Volvo XC90  พร้อมข้อเสนอทางการเงินที่คุ้มค่าที่สุดแห่งปี เฉพาะลูกค้าที่สั่งจองภายในงานและโชว์รูมวอลโว่ทุกแห่งทั่วประเทศภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 นี้เท่านั้น

นาย คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปี 2021 เป็นปีที่ท้าทายของพวกเราทุกคน วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจที่มุ่งมั่นสู่การเป็น 

แบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเกรดพรีเมียมอย่างเต็มตัว เราได้นำ Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid โฉมใหม่ สุดยอดนวัตกรรมยานยนต์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริด รุ่นปี 2022 ที่ได้รับการอัพเกรดประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์ต่อการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานนี้ และเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน วอลโว่ได้นำรถยนต์เอสยูวีพลังไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ “VOLVO XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC มาโชว์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรายังคงเดินหน้าส่งมอบรถยนต์พลังงานสะอาดที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่หยุดยั้ง”

Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid ได้รับการอัพเกรดประสิทธิภาพเพื่อตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบให้แก่ผู้ขับขี่ในทุกไลฟสไตล์ อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์การใช้งานที่ครบครันและเทคโนโลยี Digital Services (Google Assistant, Google Map, Google Play)* เพื่อส่งมอบบริการบนเครือข่ายดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังมีการพลิกโฉมระบบความปลอดภัยรอบคันด้วยระบบเซนเซอร์ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ ระบบหลีกเลี่ยงการชน ตลอดจนระบบ Pilot Assist เพื่อให้ทุกการขับขี่ปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคย

นอกจากนี้ความพิเศษของรุ่นอัพเกรด Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid ยังได้รับการอัพเกรดรูปลักษณ์ทั้งภายในและภายนอก เพื่อยกระดับความทรงพลังในสไตล์สปอร์ต แต่ยังคงมาพร้อมสมรรถนะแรงสูงด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ, Drive-E Powertrain เทอร์โบชาร์จ และซูเพอร์ชาร์จ โดยผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมนำเสนอเฉดสีใหม่ล่าสุดอย่าง Silver Dawn Metallic เพื่อเพิ่มลูกเล่นในการไล่เฉดสี แสง และเงาได้อย่างโดดเด่น สะกดทุกสายตา โดยรุ่นอัพเกรดในรุ่นรถปี 2022 ทางวอลโว่นำเสนอ 3 รุ่น ได้แก่

  •  Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid Inscription
  •  Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid R-Design
  •  Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid R-Design Expression

ผู้เข้าร่วมงานยังจะได้ยลโฉมและสัมผัสประสบการณ์ระดับพรีเมียมจากขบวนรถยนต์สัญชาติสวีดิช สไตล์สแกนดิเนเวียนที่มาพร้อมเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ชั้นสูงอีกหลากหลายรุ่น อาทิ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ Volvo XC40 Recharge Pure Electric, และรุ่นยอดนิยม Recharge Plug-in Hybrid เช่น Volvo S60, Volvo V60, Volvo S90, Volvo XC40, Volvo XC60 และ Volvo XC90  

พิเศษสุดเมื่อออกรถในงานหรือโชว์รูมรถยนต์วอลโว่ทั่วประเทศ รับข้อเสนอและโปรโมชั่นสุดพิเศษ อาทิ โปรโมชั่นพิเศษ ดอกเบี้ย 0% นานถึง 48 เดือน**, ฟรี Volvo Care Package** (Volvo Premium Service Plus Package และ Volvo Premium Service Pro Package) , ฟรีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ยาวนานถึง 3 ปี** พร้อมรับฟรีทันที เครื่องชาร์จไฟแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบติดผนัง รับประกันอายุการใช้งานนาน 2 ปี และ ฟรีบริการจตรวจสภาพระบบไฟฟ้าและการติดตั้ง รวมถึงการบริการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ไฮบริดนาน 8 ปี หรือ 150,000 กม. (เมื่ออย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

บริการหลังการขายแบบ Volvo Premium Service Package – Plus (VPSP Plus)**รวมถึง

  • บริการรับประกันคุณภาพ เป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (เมื่ออย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
  • การบำรุงรักษา เป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (เมื่ออย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
  • บริการให้ความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 ปี

ฟรี ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เป็นเวลา 1 ปี**

ฟรี เครื่องชาร์จไฟแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบติดผนัง พร้อมรับประกันอายุการใช้งาน 2 ปี และฟรีบริการตรวจสภาพระบบไฟฟ้าและติดตั้ง**

บริการประกันคุณภาพแบตเตอรี่ไฮบริด 8 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)

และบริการหลังการขายแบบ Volvo Premium Service Pro Package (VPSP Pro)** ดูแลรักษารถมาตรฐานขั้นสูงอันเป็นซิกเนเจอร์เฉพาะของแบรนด์รถยนต์วอลโว่ มอบความอุ่นใจและความสะดวกสบายที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้าด้วยบริการและสิทธิประโยชน์มากมาย รวมถึง

  • บริการรับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)
  • บริการบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)
  • บริการให้ความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 ปี

ฟรี ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เป็นเวลา 3 ปี**

ฟรี เครื่องชาร์จไฟแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบติดผนัง พร้อมรับประกันอายุการใช้งาน 2 ปี และฟรีบริการตรวจสภาพระบบไฟฟ้าและติดตั้ง**

ฟรีค่าชาร์จไฟแบตเตอรี่แรงดันสูงในรถยนต์ด้วย EA Anywhere application มูลค่า 25,000 บาท

บริการประกันคุณภาพแบตเตอรี่แรงดันสูงเป็นระยะเวลา 8 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)

พบกับกิจกรรมดี ๆ โปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมายจากรถยนต์วอลโว่ได้ที่ งานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2021 ระหว่างวันที่ 1 – 12 ธันวาคม 2564 ณ บูธรถยนต์วอลโว่ (A08) อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี

อีซูซุตอกย้ำคอนเซปต์ “MY NEW ID..MY NEW ISUZU D-MAX” นำยนตรกรรมใหม่ล่าสุดร่วมงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38”

อีซูซุร่วมงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” เผยโฉมรถรุ่นใหม่ล่าสุด นำโดย “ใหม่! อีซูซุ ดีแมคซ์” ตอกย้ำตัวตนใหม่ภายใต้แนวคิด “MY NEW ID..MY NEW ISUZU D-MAX” โชว์ศักยภาพ “ใหม่! พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” โดดเด่นและแตกต่างด้วยสีเทาโอเพคใหม่! (ISLAY GRAY OPAQUE) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก พร้อมด้วยรถอเนกประสงค์ “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ความสำเร็จใหม่ที่คุณกำหนด โดยเพิ่มฟังก์ชั่นความปลอดภัยใหม่ในระบบ ADAS และ “ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์” สปอร์ตยิ่งขึ้น เติมเต็มด้วยรถรุ่นตกแต่งสุดพิเศษสะท้อนตัวตน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถ มาจัดแสดงเต็มพื้นที่รวมทั้งสิ้น 14 คัน ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม ศกนี้ 

กลุ่มตรีเพชรโดย นาย ทาเคชิ คาซาฮาระ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อีซูซุได้เปิดตัวรถใหม่ไมเนอร์เชนจ์ปรับโฉมให้พรีเมี่ยม เท่และสปอร์ตขึ้น และยังคงความโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะ ความคุ้มค่าเงินสูงสุด และภาพลักษณ์ใหม่ซึ่งดูทันสมัย ตอบรับความต้องการและกำลังซื้อของผู้บริโภคช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ดังนั้นในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 38 ในปีนี้ อีซูซุจึงได้นำทัพอีซูซุรุ่นใหม่ล่าสุดร่วมจัดแสดงแบบครบครัน ตอกย้ำตัวตนใหม่ภายใต้แนวคิด “MY NEW ID..MY NEW ISUZU D-MAX” นำโดย “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” ขับเคลื่อนความสมบูรณ์แบบในทุกองศา โดดเด่นด้วยสีเทาโอเพคใหม่! (Islay Gray Opaque) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก และ ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” รถอเนกประสงค์สุดหรู ที่เติมเต็มฟังก์ชั่นความปลอดภัยใหม่ในระบบ ADAS รวมถึง “ใหม่!อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์” แรงทะลุไมล์…เร้าใจสไตล์เอ็กซ์ พร้อมด้วยรถรุ่นตกแต่งพิเศษให้ผู้บริโภคได้เลือกเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนตัวตน และรองรับรูปแบบการใช้ชีวิตอันหลากหลาย รวมทั้งสิ้น 14 คัน พร้อมมอบโบนัสสุดพิเศษสำหรับผู้ซื้ออีซูซุทุกรุ่นภายในงาน ลุ้นรับทองคำทุกวัน จำนวน 42 รางวัล รวมมูลค่า 1,050,000 บาท” 

สำหรับยนตรกรรมอีซูซุที่นำไปจัดแสดงในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” ได้แก่ 

   ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” ยนตรกรรมที่ได้รับการปรับแต่งให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างกันในแต่ละรุ่น สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่แห่งความสปอร์ตหรู ยกระดับความพรีเมี่ยม สู่มาตรฐานใหม่ของรถปิกอัพระดับ TOP CLASS ด้วยสีเทาโอเพคใหม่! (ISLAY GRAY OPAQUE) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก โดยนำรถรุ่นต่างๆ มาโชว์ดังนี้

  • ใหม่! อีซูซุวี-ครอส 4×4 (NEW! ISUZU V-CROSS 4×4) พรีเมี่ยม สปอร์ตออฟโรด รถธงรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมความแรงจัด ขับสนุกเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ เติมเต็มความเข้มสไตล์สปอร์ตทรงพลังในทุกมิติของรถด้วย ใหม่! กระจังหน้าแบบ Double Dimensions ดีไซน์แบบทูโทน สีเทาดำ และ Black Chrome พร้อมไฟท้ายดีไซน์โทนสีเข้ม ใหม่! Front Bumper Guard สีทูโทน พร้อมชุดแต่งสีเทาดำรอบคัน เพิ่มความดุดัน และล้อ

อัลลอยขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ใหม่! แบบ Robust Radius สี Matte Black ห้องโดยสารอารมณ์ใหม่ ผสานความเท่ สปอร์ต และหรูหรา ด้วยดีไซน์ High-Class & Sporty เน้นสีแบบทูโทน ดำ-น้ำตาล คอนโซลหน้าสีดำ เบาะคู่หน้าดีไซน์ใหม่ เดินด้ายสีน้ำตาลอย่างพิถีพิถัน และพวงมาลัยสัมผัสใหม่ สีทูโทน พร้อมออกแบบให้มิติห้องโดยสารกว้างขวางแบบ Sharp Horizontal Layers คมเข้ม เล่นระดับกับแผงข้างประตู ที่เติมเต็มอารมณ์ด้วยวัสดุตกแต่งพรีเมี่ยม สี Brown Cafe และ Satin Silver เพิ่มความสปอร์ตหรู  เหนือระดับไปอีกขั้นและจัดวางสิ่งอำนวยสะดวกสบายตามหลัก Usability Design เน้นการใช้งานที่หลากหลาย พร้อมระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบของ ISUZU Ultimate Entertainment 

  •  ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ (NEW! ISUZU D-MAX) รุ่น CAB 4, HI-LANDER และ SPACECAB เอกลักษณ์แห่งดีไซน์ที่หรูหรา สะดวกสบาย ตอบรับทุกเป้าหมายและทุกการใช้งานในทุกด้านของการใช้ชีวิต เท่ เต็มอารมณ์สปอร์ต ด้วย ใหม่! กระจังหน้าแบบ Double Dimensions  ดีไซน์แบบทูโทน สี Chrome และ Dark Gray Metallic พร้อมไฟท้ายดีไซน์โทนสีเข้ม และ ใหม่! ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สีทูโทนดีไซน์แบบ Robust Radius ในรุ่น HI-LANDER  ยกระดับการออกแบบภายใน ด้วยการเลือกใช้วัสดุพรีเมี่ยม เติมเต็มความหรูด้วย Piano Black และ Satin Chrome พร้อมพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง โอ่อ่า แบบ Sharp Horizontal Layers คมเข้ม เล่นระดับกับแผงข้างประตู เบาะนั่งดีไซน์ใหม่ โอบกระชับ พร้อมเทคโนโลยี COOLMAX  ช่วยลดการสะสมความร้อน เบาะนั่งคู่หน้าเทคโนโลยี AVEC (Anti Vibration Elastic Comfort) ซับแรงสั่นสะเทือน ลดความเมื่อยล้า และ ใหม่! เกียร์อัตโนมัติ ใน HI-LANDER และ CAB 4 ในรุ่น LDA ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” รุ่นมาตรฐานนำมาจัดแสดงรวม 5 รุ่น ดังนี้

– ใหม่! อีซูซุวี-ครอส 4×4 (NEW! ISUZU V-CROSS 4×4) เครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ 4 ประตู รุ่น M สีเทาโอเพคใหม่! (ISLAY GRAY OPAQUE) 

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ แค็บโฟร์ (NEW! ISUZU D-MAX CAB 4) เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ รุ่น L DA สีขาวไซบีเรียน (SIBERIAN WHITE) 

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ ไฮแลนด์เดอร์ (NEW! ISUZU D-MAX HI-LANDER) เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ 2 ประตู รุ่น Z สีเทาโอเพคใหม่! (ISLAY GRAY OPAQUE) 

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ ไฮแลนด์เดอร์ (NEW! ISUZU D-MAX HI-LANDER) เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ 4 ประตู รุ่น M สีน้ำเงินบิอาร์ริตช์ (BIARRITZ BLUE)

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ สเปซแค็บ (NEW! ISUZU D-MAX SPACECAB) เครื่องยนต์1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ รุ่น L DA สีเงินโบฮีเมียน (BOHIMIAN SILVER)

  • “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” (ALL-NEW ISUZU MU-X…ORIGINALITY REDEFINED) ความสำเร็จใหม่ที่คุณกำหนด ยอดยนตรกรรมอเนกประสงค์ระดับหรู ที่พร้อมขับเคลื่อนคุณไปสู่ความสำเร็จใหม่ได้ไม่สิ้นสุด เดินหน้าเพิ่มความมั่นใจด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยที่เหนือกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน ล่าสุดเพิ่ม ใหม่! Turn Assist with AEB ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา ในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยล้ำหน้าล่าสุด เพิ่มความมั่นใจในทุกการเดินทาง โดยนำ 3 รุ่นมาตรฐานมาจัดแสดง ได้แก่ 

– “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” (ALL-NEW ISUZU MU-X) รุ่น Ultimate 4WD เครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ สีขาวมุกโดโลไมท์ (DOLOMITE WHITE PEARL)

– “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” (ALL-NEW ISUZU MU-X) รุ่น Ultimate เครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ สีเงินโบฮีเมียน (BOHIMIAN SILVER)

– “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” (ALL-NEW ISUZU MU-X) รุ่น Ultimate เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ สีดำบาวาเรียน (BAVARIAN BLACK)

  • ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์ (NEW! ISUZU X-SERIES) ยนตรกรรมดีไซน์เท่ แรงทะลุไมล์…เร้าใจสไตล์เอ็กซ์ (INFINITE X-LIFE) ขีดสุดความเร้าใจสไตล์สปอร์ตที่มาพร้อมชุดแต่งจัดเต็มสุดร้อนแรง แรงจัดด้วยขุมพลังเครื่องยนต์อีซูซุ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ Gen 2 เติมเต็มพลังเรซซิ่งให้กับไลฟ์สไตล์ของคนหัวใจสปอร์ตที่พร้อมไปให้สุดแบบไม่ต้องมีลิมิต! โดยมาพร้อม ใหม่! กระจังหน้าแบบ Double Dimensions โดดเด่นสไตล์สปอร์ตด้วยดีไซน์แบบ  ทูโทนสีดำ Glossy Black ผสานสีแดงเข้ม Garnet Red พร้อมไฟท้ายโทนสีเข้ม โฉบเฉี่ยวไม่ซ้ำใครด้วยสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง จัดแสดง 3 รุ่น ได้แก่

– ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์ (NEW! ISUZU X-SERIES) รุ่น SPEED สีดำบาวาเรียน (BAVARIAN BLACK) สติกเกอร์คาดหน้า-หลัง ดีไซน์เท่เป็นเอกลักษณ์ สีเทาพร้อมขอบแดงใหม่ Garnet Red คมเข้มสะดุดตา พร้อมสัญลักษณ์ X ที่ด้านหน้า  

– ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์ (NEW! ISUZU X-SERIES) รุ่น SPEED 4 ประตู สีขาวไซบีเรียน (SIBERIAN WHITE)

– ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์ (NEW! ISUZU X-SERIES) รุ่น HI-LANDER 4 ประตู สีขาวมุกโดโลไมท์ (DOLOMITE WHITE PEARL) สติกเกอร์คาดหน้า-หลัง พร้อม สัญลักษณ์ X ที่ด้านหน้าตกแต่งขอบด้วยสีเงิน Silver-Gray และใหม่! ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สีดำ Glossy Black ดีไซน์เท่แบบ Robust Radius เสริมความสปอร์ตพรีเมี่ยม 

   นอกจากนี้ อีซูซุยังได้สร้างสรรค์ ยนตรกรรมรุ่นตกแต่งพิเศษ สะท้อนตัวตน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถ 3 รุ่น ได้แก่

  • ใหม่! อีซูซุวี-ครอส 4×4 (NEW! ISUZU V-CROSS 4×4) เครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ 4 ประตู รุ่น M สีเทาโอเพคใหม่! (ISLAY GRAY OPAQUE) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก ตกแต่งพิเศษยกสูง Sport Off-Road เอาใจคนรักการใช้ชีวิตแนว Outdoor Lifestyle จัดเต็มกับชุดโรลบาร์หลัง พร้อมอุปกรณ์เต็นท์บนหลังคาควบคุมด้วยรีโมทไฟฟ้าช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการกางและเก็บ สนุกไปกับอุปกรณ์อเนกประสงค์พร้อมพลั่วและแผ่นกระดานกู้ภัย ลุยได้อย่างเต็มสมรรถนะกับชุดช่วงล่างและแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ ARB แบบครบเซ็ต โดดเด่นกับล้อ Fuel Blitz พร้อมยาง Toyo Tires R/T ขอบ 20 มั่นใจยามค่ำคืนกับไฟสปอร์ตไลท์ PIAA บนฝากระโปรงหน้า รวมมูลค่าชุดแต่งกว่า 340,000 บาท
  • “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” (ALL-NEW ISUZU MU-X) รุ่น Elegant เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ สีขาวมุกโดโลไมท์ (DOLOMITE WHITE PEARL) ตกแต่งพิเศษแนว white Sporty and Urban โดดเด่นด้วยชุดแต่งคาร์บอนคอมโพสิตจากมอนซ่า แฟคทอรี่ ที่ฝากระโปรงหน้าและครอบกระจกมองข้าง จัดทรงให้สปอร์ตโฉบเฉี่ยวด้วยชุดโหลดช่วงล่าง Profender ล้อ Rays TE37 ยาง Toyo Tires ST3 ขอบ 18 สุด ๆ กับเบรก Endless Racing Mono ที่ทำงานร่วมกับเบรกมือไฟฟ้า พร้อมคิ้วล้อรอบคัน รวมมูลค่าชุดแต่งกว่า 880,000 บาท
  • ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ แค็บโฟร์ (NEW! ISUZU D-MAX CAB 4) เครื่องยนต์ 1.9  ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ รุ่น S สีฟ้าและดำ (NEON ICE BLUE และSMOKY BLACK)  เอาใจผู้ที่ชื่นชอบการแต่งรถ 4 ประตู สุดๆ กับอุปกรณ์จัดเต็มทั้งฝากระโปรงหน้า แก้มข้าง ประตูหลัง ฝาปิดท้าย และสปอยเลอร์บนหลังคา ด้วยชุดคาร์บอนคอมโพสิต จากมอนซ่า แฟคทอรี่  เท่สุด ด้วยล้อ Rays TE37 พร้อมยาง Nitto NT420 ขอบ 18 เข้าชุดกับเบรกหน้า-หลัง Endless 6 pot ห้องเครื่องแต่งเต็มจาก BRD Racing Shop เสริมความแรงด้วยกล่องควบคุมเครื่องยนต์พร้อมคันเร่งไฟฟ้า Alpha Tech ภายในเบาะแบบบัคเก็ตซีท Kirkey  เข็มขัดนิรภัย 6 จุด Simpson พวงมาลัย Nardi พร้อมคอแบบพับได้ เสริมอารมณ์สปอร์ตกับชุดแต่งสแตนเลส Iron Bar และสติ๊กเกอร์แรป รวมมูลค่าชุดแต่งกว่า 790,000 บาท

  ร่วมสัมผัสและทดลองขับยนตรกรรมคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ได้ที่บูธอีซูซุ ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” (Thailand International Motor Expo 2021) ระหว่างวันที่ 1 – 12 ธันวาคมนี้ ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ เผยโฉมพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ สำหรับทุกการเดินทาง

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 24 พฤศจิกายน 2564 – ฟอร์ด เผยโฉมฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ในตระกูลฟอร์ด เรนเจอร์ เพื่อเป็นรถคู่ใจที่พร้อมเป็นเพื่อนลุยในทุกเส้นทาง 

ด้วยความเชี่ยวชาญในการผลิตรถกระบะระดับโลกของฟอร์ด และความเข้าใจลูกค้าผู้ใช้งานจริงอย่างลึกซึ้งจากการทำงานร่วมกับลูกค้าฟอร์ดทั่วโลก ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ จึงได้รับการพัฒนาทั้งตัวรถและประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของให้พร้อมตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการรถกระบะทั้งเพื่อใช้ในการทำงาน เป็นรถสำหรับครอบครัว และการท่องเที่ยวผจญภัย  

ฟอร์ด เรนเจอร์ ทำให้ฟอร์ดมีครอบครัวที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา นาย จิม ฟาร์ลีย์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าว รถกระบะรุ่นนี้เป็นเพื่อนร่วมทางที่คนทั่วโลกให้ความไว้วางใจ จากทั้งเจ้าของธุรกิจ เกษตรกร ครอบครัว นักผจญภัย บริษัทขนส่ง และอีกหลากหลายวงการใน 180 ประเทศทั่วโลก ด้วยฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ 

นอกจากการเผยโฉมฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ฟอร์ดยังได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในเรื่องการดูแลลูกค้าแบบใส่ใจในทุกรายละเอียด ด้วยการดูแลลูกค้าแบบ‘พร้อมเสมอ (Always-On)’  ด้วยบริการมากมายที่พร้อมอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในทุกมิติตามความต้องของการแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นบริการรับ-ส่งรถถึงบ้านเพื่อนำรถเข้ารับบริการ ณ ศูนย์บริการ โปรแกรมผู้ช่วยของลูกค้าฟอร์ด เรนเจอร์ (Ranger Concierge) และการนัดหมายผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้น

“ครั้งแรกที่เราคิดว่าเราจะพัฒนารถฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ เราตั้งใจที่จะสร้างสิ่งที่เป็นมากกว่าสุดยอดรถกระบะคันใหม่ เพราะเรามุ่งมั่นที่จะสร้างสุดยอดประสบการณ์ในการใช้งานด้วย” ไดแอน เครก ประธานตลาดนานาชาติ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าว “บริษัทฟอร์ดเป็นธุรกิจของครอบครัว และเราอยากให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวฟอร์ดด้วย การซื้อรถฟอร์ดแต่ละคันจึงเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของการพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกัน” 

การใช้ชีวิตแบบ Live The Ranger Life

ฟอร์ดเรียกนิยามของการใช้ชีวิตแบบเรนเจอร์ว่า ‘Live The Ranger Life’ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักออกแบบ และวิศวกรที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ยึดถือร่วมกัน

โครงการพัฒนาฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ดำเนินงานโดยศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ของฟอร์ดในประเทศออสเตรเลียเป็นหลัก ทีมผู้เชี่ยวชาญในโครงการประกอบด้วยนักออกแบบและวิศวกรหลากหลายเชื้อชาติ ทำงานร่วมกับทีมจากทั่วโลกเพื่อผสานเทคโนโลยีล่าสุดของฟอร์ดเข้ากับสมรรถนะ และความปลอดภัยในการสร้างสรรค์สุดยอดรถกระบะนี้ รวมถึงการสอบสุดหฤโหดตามมาตรฐานความแกร่งของฟอร์ด

“ทีมงานของเรามีเป้าหมายหนึ่งเดียวคือการสร้างฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ให้แกร่งที่สุด และมีสมรรถนะสูงสุดที่เราเคยพัฒนามา” นาย เกรแฮม เพียร์สัน ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาเรนเจอร์ กล่าว “เรานำรถไปทดสอบในสภาพแวดล้อมการขับขี่ที่หฤโหดที่สุดเท่าที่เราเคยทำมา และเรายังทดสอบไม่หยุดจนกว่าเราจะพอใจว่ารถคันนี้เป็นรถที่ ‘เกิดมาแกร่ง’ อย่างแท้จริง”

โฉมใหม่ พร้อมสมรรถนะที่เหนือกว่าเดิม

ความคิดเห็นจากลูกค้าฟอร์ดนับเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนารูปลักษณ์ภายนอกที่สมบุกสมบันของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ฟอร์ดใช้เวลาอย่างเต็มที่กับเจ้าของรถฟอร์ดจากทั่วโลก สัมภาษณ์ผู้ใช้จริงกว่า 5,000 ครั้ง รวมถึงจัดเวิร์กช็อปอีกหลายสิบครั้ง เพื่อทำความเข้าใจการใช้งานรถกระบะของลูกค้า และสิ่งที่พวกเขาคากหวังจากฟอร์ด เรนเจอร์รุ่นใหม่โดยตรง

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ มีรูปลักษณ์ที่ดุดันและโฉบเฉี่ยว ด้วยภายนอกที่สะท้อนดีเอ็นเอรถกระบะระดับโลกของฟอร์ด ตั้งแต่กระจังหน้าใหม่ที่โดดเด่น และไฟหน้าใหม่รูปตัว C อันเป็นเอกลักษณ์ โดยมีเส้นสายบริเวณด้านข้างของตัวรถเชื่อมต่อไปยังซุ้มล้ออย่างโดดเด่น เพิ่มความรู้สึกที่มั่นคง และถือเป็นครั้งแรกที่ฟอร์ด เรนเจอร์ มีไฟหน้าแบบเมทริกซ์ แอลอีดี ส่วนด้านหลังของรถได้รับการออกแบบมาให้สอดรับกับการกราฟฟิคด้านหน้า ห้องโดยสารได้รับการยกระดับให้เหมือนกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมากขึ้นด้วยการเลือกใช้วัสดุที่หรูหรา ให้สัมผัสนุ่มสบาย อัดแน่นด้วยระบบเชื่อมต่อการสื่อสารและความบันเทิงไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแบบสัมผัสแนวตั้ง และระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4 ของฟอร์ด

รุ่นย่อยของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ที่เผยโฉม ได้แก่ ฟอร์ด เรนเจอร์ สปอร์ตที่พร้อมลุยได้ในแบบสมบุกสมบัน และฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์แทรคสำหรับผู้รักการผจญภัย สะท้อนความต้องการด้านการใช้งานและความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย

“ลูกค้าบอกเราว่าฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ จะต้องดูแกร่ง และต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่” นาย แม็กซ์ ทราน หัวหน้าทีมออกแบบเรนเจอร์ กล่าว “พวกเขาได้บอกอย่างชัดเจนว่า ฟอร์ด เรนเจอร์ควรเป็นอย่างไร ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และความรู้สึกที่ควรได้รับเมื่อขับขี่”

ภายใต้ตัวรถที่ออกแบบขึ้นใหม่ยังมีแชสชีสที่แข็งแกร่งขึ้นบนฐานล้อที่มีความยาวขึ้น 50 มิลลิเมตร และความกว้างเพิ่มขึ้นอีก 50 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับเรนเจอร์รุ่นก่อนหน้า โครงสร้างตัวถังด้านหน้ายังทำให้รถคันนี้พร้อมรองรับเทคโนโลยีระบบส่งกำลังหลากหลายรูปแบบในอนาคต และยังเผื่อพื้นที่ไว้ให้อากาศถ่ายเทไปยังหม้อน้ำได้มากขึ้น ช่วยลดอุณหภูมิเครื่องยนต์เมื่อใช้รถในการลากจูง หรือบรรทุกสัมภาระ 

ระบบส่งกำลัง ตอบสนองทุกการใช้งาน

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว และเทอร์โบคู่ 2.0 แบบสี่สูบ เครื่องยนต์เทอร์โบเดี่ยวมีสมรรถนะให้เลือกสองแบบ พร้อมส่งมอบกำลัง แรงบิด และการประหยัดน้ำมัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ประกอบการธุรกิจขนส่ง ส่วนเครื่องยนต์เทอร์โบคู่มอบประสบการณ์ที่เหนือชั้นขึ้นไปอีก สำหรับลูกค้าที่ต้องการกำลังที่แรงกว่า แต่ยังคงประหยัดเชื้อเพลิง

“เราทราบดีว่าลูกค้าของเราจะใช้งานฟอร์ด เรนเจอร์ สุดกำลังความสามารถของรถ เราจึงทดสอบรถด้วยวิธีเดียวกัน เราพยายามถึงที่สุดที่จะทำให้มั่นใจว่าฟอร์ด เรนเจอร์จะทำได้ทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ โดยการผ่านบทพิสูจน์ความแกร่งซ้ำแล้วซ้ำอีก” ปริติกา มหาราช ผู้จัดการโครงการฟอร์ด เรนเจอร์ กล่าว 

ระบบเกียร์ในฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ยังได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น โดยมีตัวเลือกเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด หรือธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด 

เสถียรภาพในการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น 

ฟอร์ดมุ่งมั่นในการพัฒนาเสถียรภาพในการขับขี่เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างกว้างขวางทั้งสำหรับการใช้ทำงาน การเป็นรถสำหรับครอบครัว และการเป็นเพื่อนคู่ใจในการเดินทางพักผ่อน วิศวกรของฟอร์ดจึงให้ความใส่ใจทุกขั้นตอนในการพัฒนา 

“กลุ่มลูกค้าของเรามีหลากหลายมาก” เกรแฮม กล่าว “บางคนอาจเป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมที่ต้องการยานพาหนะที่ช่วยทุ่นแรงในการทำงาน พวกเขาต้องการรถกระบะตอนเดียว ขับเคลื่อน 2 ล้อ และมีกระบะท้ายที่กว้างขวางสำหรับขนส่งสินค้า”

“อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นนักผจญภัยขาลุยออฟโรดตัวยงที่สามารถนำฟอร์ด เรนเจอร์ไปท้าทายขีดจำกัดในการแข่งขันอย่าง King of the Hammers หรือ Dakar Rally ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ คันนี้พร้อมเป็นรถคู่ใจที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทั้งสองกลุ่ม และทุกๆ คนได้เป็นอย่างดี” 

ทีมวิศวกรได้ขยับให้ล้อหน้าขึ้นมาด้านหน้าอีก 50 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มมุมเงย และปรับจูนช่วงหน้าให้รองรับการขับขี่แบบออฟโรดให้ดีขึ้น ช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่แบบออฟโรดด้วย นอกจากนี้ยังย้ายโช๊คหลังไปไว้ด้านนอกเพลาเพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารนั่งได้สบายขึ้นทั้งการขับขี่บนทางเรียบและออฟโรด ทั้งในการขนสัมภาระ หรือพาครอบครัวไปรับประทานอาหารเย็น

“สำหรับฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชันใหม่ เราได้เพิ่มการปรับจูนเพื่อมอบความเป็นที่สุดให้ลูกค้าถึงสองด้านด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็น ‘ขั้นกว่าของเกิดมาแกร่ง’ โดยมีทั้งสมรรถนะ ความสมบุกสมบัน และความทนทานที่รถกระบะฟอร์ดพึงมี รวมไปถึงความสะดวกสบายและประสบการณ์เสมือนรถเก๋ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟอร์ด เรนเจอร์นำเสนอให้ลูกค้าตลอดมา” เกรแฮม กล่าว

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจนเนอเรชันใหม่ มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือก 2  ระบบ ได้แก่ ระบบเปลี่ยนเกียร์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Shift-On-The-Fly และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะแบบเต็มเวลา (set-and-forget mode) ที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์การขับขี่ของลูกค้าได้ในทุกสภาพถนน ทั้งยังมีอุปกรณ์ช่วยเหลือในการขับขี่ออฟโรดที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยตะขอเกี่ยวคู่หน้าที่กันชนหน้า

ภายในห้องโดยสารตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า

ลูกค้าฟอร์ดชอบห้องโดยสารภายในที่มีพื้นที่กว้างขวาง ทันสมัย รองรับการใช้งานได้หลากหลายทั้งใช้ทำงานและใช้เป็นรถของครอบครัว ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ จึงต้องทำหน้าที่เป็นทั้งห้องทำงาน และพื้นที่ส่วนตัวได้ในคราวเดียวกัน ด้วยฟีเจอร์ ระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร ให้ความรู้สึกสะดวกสบาย และมอบพื้นที่เก็บของมากขึ้นกว่าเดิม 

“เราทราบดีว่าลูกค้าต้องการห้องโดยสารที่มีทั้งความอัจฉริยะ ใช้งานได้หลากหลาย และยังให้ความรู้สึกสบาย เราจึงตั้งใจสร้างสรรค์ห้องโดยสารของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมา ประกอบกับพื้นที่จัดเก็บที่ออกแบบมาอย่างแยบยลและสวยงาม มอบความรู้สึกสบายและกว้างขวาง” แม็กซ์ กล่าว

หัวใจหลักของประสบการณ์การเชื่อมต่อบนฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ คือหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 10.1 หรือ 12 นิ้วตรงกลางคอนโซล เติมเต็มแผงหน้าปัดแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4 ระบบความบันเทิง และระบบแสดงข้อมูล ยิ่งกว่านั้นฟอร์ดยังติดตั้งโมเด็มมาในตัวเพื่อเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันฟอร์ดพาส ทำให้ลูกค้าเชื่อมต่อการสื่อสารกับรถได้ตลอดเวลา โดยฟอร์ดพาสจะช่วยยกระดับประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถด้วยฟีเจอร์ที่น่าสนใจ ทั้งการสตาร์ทรถจากระยะไกล ตรวจเช็คข้อมูลสภาพรถเบื้องต้น และสามารถล็อคและปลดล็อคจากระยะไกลได้ผ่านสมาร์ทโฟน

การควบคุมโหมดการขับขี่ต่างๆ ย้ายจากแผงหน้าปัดและคอนโซลเดิมมารวมอยู่ที่หน้าจอ SYNC เพียงปุ่มกดเดียว ผู้ขับขี่ก็จัดการโหมดการขับขี่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทางเรียบหรือออฟโรดได้บนจอเดียว โดยสามารถควบคุมระบบขับเคลื่อน ดูองศาการเลี้ยว มุมเอียง มุมโคลง และข้อมูลอื่นๆ อีกมากมาย

หน้าจอดังกล่าวยังเชื่อมกับกล้อง 360 องศา ช่วยให้การจอดรถในเมืองหรือพื้นที่แคบเป็นเรื่องง่าย และช่วยตรวจสอบสิ่งกีดขวางรอบตัวรถระหว่างการขับขี่บนเส้นทางออฟโรดได้ เทคโนโลยีบนฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ยังพร้อมรองรับการอัพเดตของซอฟต์แวร์ต่างๆ ในอนาคตผ่านโมเด็มที่ติดตั้งมากับรถ

“คุณจะเห็นได้ว่าฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ เป็นรถที่น่านั่ง และในขณะเดียวกันก็เหมาะสำหรับใช้ทำงานและพักผ่อน เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter ใหม่ถูกจัดวางไว้ตรงกึ่งกลาง เป็นอีกตัวอย่างของการนำความคิดเห็นจากลูกค้ามาช่วยในการตัดสินใจของเรา” แม็กซ์ กล่าว “ลูกค้าชื่นชอบเกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter เป็นอย่างมาก เพราะให้ความรู้สึกล้ำสมัย และสามารถใช้งานง่าย”

นิสสันเคาะโปรโมชั่น มอเตอร์เอ็กซ์โปร64

นิสสัน เตรียมโปรโมชันพิเศษพร้อมลุย มหกรรมยานยนต์ มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 38 จัดแคมเปญ ขับฟรี 90 วัน ฟรีเช็คระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กม.

กรุงเทพฯ (17 พ.ยน 64) – นิสสัน ประเทศไทย เตรียมนำเสนอรถยนต์ยอดนิยมและรถรุ่นพิเศษหลากหลายรุ่นครอบคลุมทุกความต้องการ พร้อมข้อเสนอและโปรโมชันพิเศษมากมาย ที่จะจัดแสดงในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” หรือ The 38th Thailand International Motor Expo 2021 ระหว่างวันที่ 1 – 12 ธ.ค. 64 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

รายงานข่าวจากบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย)จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดนำเสนอและโปรโมชั่น ภายในงาน โดยภายในงานฯ “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” หรือ The 38th Thailand International Motor Expo 2021 โดยนิสสัน พร้อมเสนอและโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ ให้กับลูกค้าทุกคนทั่วประเทศ อาทิ    ขับฟรี 90 วัน และอื่นๆ สำหรับมหกรรมยานยนต์2564 ในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนไทยในการซื้อรถ ด้วยข้อเสนอพิเศษ ที่ทำให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์นิสสันได้ง่ายยิ่งขึ้น สำหรับรถที่นำมาจัดส่งเสริมการขายได้แก่ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ รุ่นพิเศษ นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ นิสสัน นาวารา คาลิเบอร์ และ นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค ใหม่ เป็นต้น

นายอิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทยเปิดเผยว่า นิสสัน พร้อมนำเสนอ นวัตกรรมยานยนต์สำหรับลูกค้าชาวไทยทุกคน ภายใต้ธีม ‘Innovation for Excitement’ นำเสนอยานยนต์ที่หลากหลายและเข้ากับทุกไลฟ์สไตล์ของคนไทย ตลอดจนเตรียมแคมเปญต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกข้อเสนอที่เหมาะสมกับความต้องการด้วยความสบายใจ และเตรียมเปิดตัวรุ่นพิเศษให้กับนิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ และนิสสัน นาวารา รวมถึงนิสสัน จีที-อาร์ ที-สเปค คันแรกของประเทศไทยที่กำลังเดินทางมาเปิดตัวในงานนี้ด้วย

ไม่เพียงรถยนต์นิสสันรุ่นพิเศษเท่านั้น แต่ยังมีรถยนต์นิสสัน รุ่นยอดนิยม ที่ผู้ร่วมงานสามารถยลโฉมและสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ได้ทุกรุ่น ที่เตรียมจัดแสดงในมหกรรมยานยนต์ในครั้งนี้ อาทิ นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ นิสสัน นาวารา รุ่นคาลิเบอร์ และ นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค ใหม่

นิสสัน นำเสนอรถยนต์ที่ยอดเยี่ยม คุ้มค่าคุ้มราคาและประสบการณ์ทดลองขับแบบเรียลไทม์ นิสสัน ยังพร้อมมอบโปรโมชันสุดพิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจและบริการทางการเงินต่าง ๆ ภายในงานฯ หรือที่ผู้จำหน่าย   นิสสันทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ-ย.ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564 สำหรับรายละเอียดการส่งเสริมการขายของนิสสันเช้่น

•         นิสสัน นาวารา ใหม่ คิงแค็บ รุ่นคาลิเบอร์ วี เกียร์ธรรมดา ขับฟรี 90 วัน และอัตราดอกเบี้ยเพียง 0% ผ่อนนาน 60 เดือน หรือเลือกรับราคาพิเศษเริ่มต้น 699,000 บาท และยังมีชุดตกแต่ง EXTREMER แพ็กเกจ ให้ลูกค้าสามารถเลือกตกแต่ง

Nissan celebrates the 10 year anniversary of Nissan Almera in Thailand, Nissan’s best-selling car in its Thai history!

•         นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ เสนออัตราดอกเบี้ย 0% ผ่อนนานถึง 60 เดือน และกิจกรรมพิเศษ ‘Thrilling drive’ หากลูกค้าไม่พึงพอใจ สามารถคืนรถได้ภายใน 30 วัน พร้อมแพ็กเกจ “ขับสบายหายห่วง” ทั้งฟรี รับประกันระบบ e-POWER 5 ปี/100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน) ฟรี รับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 10 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ฟรี Roadside Service Assistance บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง (5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร) และฟรี SAVE SAFE Platinum Package (5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร)

•     นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำ1.49% ผ่อนนาน ผ่อน 48 เดือน พร้อมอุปกรณ์พิเศษฟรี สำหรับรุ่น VL

•         นิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค ใหม่ เลือกผ่อนเริ่มต้น 3,400 บาทต่อเดือน หรือเลือกรับดอกเบี้ยต่ำ 0.99% ผ่อนนานถึง 48 เดือน

•         นิสสัน อัลเมร่า รุ่นอื่น ๆ ยังสามารถเลือกดาวน์ต่ำเพียง 19,900 บาท หรือเลือกผ่อนรถเริ่มต้นที่ 3,050 บาทต่อเดือน หรือ ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% ผ่อนนาน 48 เดือน

ลูกค้าทุกท่านยังสามารถรับสิทธิประโยชน์จากข้อเสนอโปรโมชันอื่น ๆ ได้อีกมากมาย อาทิ ขับฟรี 90 วัน โปรแกรมรับประกันคุณภาพรถยนต์นิสสัน พรีเมียม วารันตี (NISSAN PREMIUM WARRANTY) ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี ค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี/100,000 กิโลเมตร หรือ 70,000 กิโลเมตร รวมถึงข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าเก่านิสสัน กับแพ็กเกจเช็กระยะ SAVE SAFE Gold Package ครอบคลุมการเช็กระยะ 6 ครั้งฟรี (3 ปี หรือ 60,000 กม.) ยกเว้น นิสสัน คิกส์ อีพาวเวอร์ (โปรดตรวจสอบรถยนต์รุ่นที่ร่วมรายการ)

เอ็มจีอัพเกรด รถอีวี รุ่น “อีพีพลัส”

เอ็มจี แนะนำ NEW MG EP PLUS ตอกย้ำภาพรถพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงในราคา 998,000 บาท

กรุงเทพฯ – 18 พ.ย. 2564 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจี(MG) แนะนำ NEW MG EP PLUS ที่เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งาน
เพื่อตอกย้ำภาพรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงมากขึ้น พร้อมเชิญชวนคนไทยมาร่วมทดลองใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรับข้อเสนอสุดพิเศษในกิจกรรม “Charge your day, Change your life” ที่ศูนย์สร้างประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ MG Driving Experience Centre ถนนศรีนครินทร์ และโชว์รูมรถยนต์เอ็มจีทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันอาทิตย์ที่ 21 พ.ย.2564

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เอ็มจีเริ่มบุกเบิกตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยการแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรก (MG ZS EV)ของเอ็มจีออกสู่ตลาดเมื่อ 2 ปีก่อน จนถึงปัจจุบันเอ็มจีก็ยังคงเดินหน้าแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ล่าสุด เอ็มจี ได้แนะนำ อีพี พลัส(NEW MG EP PLUS) เป็นการยกระดับการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถใช้งานได้จริงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นจากรุ่น MG EP รุ่นปกติโดยจำหน่ายในราคา 998,000 บาท (ราคาเพิ่มขึ้น 1หมื่นบาท) มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีเงิน (Metallic Grey) และสีดำ (Black Knight)

สำหรับ เอ็มจีอีพีพลัส มีออฟชั่นเพิ่มเติมคือ ชุดราวหลังคา (Roof Rail) รองรับน้ำหนักได้ 75 กิโลกรัม และ การติดตั้งระบบกรองอากาศ PM 2.5 เอ็มจีอีพีพลัส ยังคงสะท้อนมาตรฐานขั้นต้นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ใน 4 ด้านหลักๆ ได้แก่
• ด้านมิติตัวถังและพื้นที่การใช้งาน (Dimension) ขนาดใหญ่และภายในกว้างขวางสามารถบรรทุกได้ทั้ง
คนและของ โดยตัวถัง มีจุดเด่นในฐานะรถประเภทสเตชั่นแวกอนที่มีพื้นที่บรรจุสัมภาระสูงสุด 1,456 ลิตร พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมทั้งชุดราวหลังคา (Roof Rail) รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถขนสัมภาระและอุปกรณ์ต่างๆ ได้มากกว่าเดิมเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้า
• ด้านความสะดวกสบายและระบบความปลอดภัย (Convenience & Safety) ที่ครบครันทั้งฟังก์ชั่น
และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อมการติดตั้งระบบกรองอากาศ PM 2.5 ที่สามารถดักจับและป้องกัน ฝุ่นละอองอนุภาคเล็กภายในห้องโดยสาร และแผ่นปิดห้องเครื่องด้านหน้า เพิ่มความเรียบร้อยและสะดวก ในการบำรุงรักษา นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งในรูปแบบ Active และ Passive Safety ครบครันจึงให้ความมั่นใจในการขับขี่
• ด้านสมรรถนะของ EV (EV Performance) ชูจุดเด่นของการขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า กับแรงบิดสูงสุดที่มาตั้งแต่ต้น ทำให้เร่งได้แบบทันใจ ไม่ต้องรอรอบ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลา เพียง 8.8 วินาที และด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทำให้วิ่งได้ไกลถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง
• ด้านความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ (Value) ด้วยค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาวโดยมีค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟฟ้าตั้งแต่ 0-100% เฉลี่ยเพียง 200 บาท หรือเฉลี่ยค่าใช้จ่ายไม่ถึง 1 บาท ต่อกิโลเมตร จึงทำให้ประหยัดกว่ารถยนต์น้ำมัน กว่า 2-3 เท่า และในเรื่องของการดูแลรักษาที่ผู้บริโภคบางส่วนยังมีความกังวล เอ็มจีก็ได้เผยค่าใช้จ่ายในการเช็คระยะตลอดระยะทาง 100,000 กิโลเมตร อยู่ที่ประมาณ 7,828 บาทนอกจาก จุดเด่นที่กล่าวมาข้างต้น MG EP ยังถือเป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่มีมาตรฐานระดับสากล ที่วางจำหน่าย ในประเทศโซนยุโรปหลายประเทศ

“การเข้าสู่ตลาดและเดินหน้าผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างเอาจริงจังมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาด้านการ บริการหลังการขาย ที่ครอบคลุมทั้งการบริการและดูแลรักษารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรทั่วประเทศ ตลอดจนการลงทุนขยายสถานี MG Super Charge โดยปัจจุบันมีอยู่กว่า 119 แห่ง และมีแผนจะขยายเพิ่มเติม
อีกกว่า 500 แห่งในเร็วๆนี้ เพื่อสร้างความสะดวกสบายและเสริมความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานรถยนต์พลังงาน
ไฟฟ้า ทำให้วันนี้แบรนด์เอ็มจีมีความพร้อมทุกด้านในการรองรับและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในประเทศอย่างเต็มประสิทธิภาพ และพร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยให้ก้าวสู่สังคม
ยานยนต์ไฟฟ้า ในอนาคตอันใกล้นี้”นายพงศักดิ์กล่าว

มาสด้า เปิดตัว CX-8 เครื่องเบนซิน 6 ที่นั่ง

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 19 ตุลาคม 2564 – ตลาดรถอเนกประสงค์เริ่มคึกคักเมื่อมาสด้าเสริมทัพป่วนตลาดลุยเจาะฐานลูกค้ารถครอบครัวขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มเอสยูวีและปิกอัพดัดแปลง เปิดตัวแนะนำ NEW MAZDA CX-8 รถอเนกประสงค์เอสยูวีระดับพรีเมี่ยม แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง และ 6 ที่นั่ง ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์นั่งอย่างแท้จริง มาพร้อมแนวคิด “The Precious Moment for All” ทุกช่วงเวลา…มีคุณค่าไม่สิ้นสุด พร้อมเพิ่มทางเลือกใหม่ที่หลากหลายยิ่งขึ้นกับรุ่นเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 ที่นั่ง Exclusive เบาะนั่งแบบ Captain Seat ทุกรุ่นมาพร้อม หน้าจอ Center Display แบบทัชสกรีนใหม่ ขนาด 8 นิ้ว ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และเพิ่มเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้ครบยิ่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษช่วงเปิดตัว กับดอกเบี้ยต่ำสุด 0%1 หรือ 1.99%2, ฟรีประกันภัยชั้น 1 Mazda Premium Insurance 1 ปี3 หรือ ฟรี Mazda Care 3 ปี4 กดราคาจำหน่ายเริ่มต้นลงเหลือ 1.4 ล้านบาท

นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัวรถอเนกประสงค์เอสยูวีสุดหรู  CX-8 ในครั้งนี้ เป็นรุ่นที่สองต่อจาก CX-5 ภายใต้กลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์ของมาสด้าที่ต้องการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงปลายปี ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาของปี 2564 ตลาดรถอเนกประสงค์ในกลุ่ม D-SUV แบบ 7 ที่นั่ง รวมกับรถกระบะดัดแปลง หรือรถประเภท PPV มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2564 จำนวน 36,811 คัน เติบโตถึง 28% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 ที่มีจำนวน 28,857 คัน แสดงให้เห็นว่าตลาดในกลุ่มนี้ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย และมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้ในอนาคต แต่ตัวเลือกในตลาดยังคงมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นการปรับกลยุทธ์ CX-8 ในครั้งนี้ จะเรียกความสนใจจากลูกค้าที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์แบบครอบครัว ที่พัฒนาขึ้นจากโครงสร้างรถยนต์นั่ง และส่งมอบความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารทุกคนในครอบครัว

การเปิดตัวในครั้งนี้ ได้นำเสนอทางเลือกที่หลากหลายถึง 5 รุ่นย่อย ด้วยที่นั่งทั้งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง และแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง ทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์เอสยูวี มีห้องโดยสารสะดวกสบาย ตอบโจทย์ทั้งการโดยสารและการขนสัมภาระ ให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และครบครันในเรื่องเทคโนโลยีความสะดวกสบายและความปลอดภัย

มาสด้า CX-8 เป็นรถอเนกประสงค์เอสยูวีขนาดใหญ่ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากโครงสร้างของรถยนต์นั่ง โดยไม่ได้มีโครงสร้างพื้นฐานมาจากรถกระบะเช่นเดียวกับ PPV จึงทำให้การขับขี่มีความนุ่มนวลมากกว่า หรือเทียบเท่ากับรถยนต์นั่ง แต่ยังคงมีความอเนกประสงค์ด้านการใช้งานตามที่ลูกค้ามองหา  ซึ่งเชื่อว่ารถรุ่นนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และส่งมอบความสุขให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้อย่างลงตัวในทุกการเดินทาง พร้อมเติมเต็มการใช้ชีวิตให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส กล่าวว่า “มาสด้า CX-8 ยังคงความเป็นรถอเนกประสงค์เอสยูวีระดับพรีเมี่ยม แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง และแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง หนึ่งเดียวในตลาดที่วางจำหน่ายในประเทศไทย โดยมาพร้อมแนวคิด “The Precious Moment for All” ทุกช่วงเวลา…มีคุณค่าไม่สิ้นสุด มีการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน คือ ลูกค้ากลุ่มนักบริหารระดับสูง เป็นผู้นำ

ด้วยความครบครันของเทคโนโลยีความสะดวกสบายและความปลอดภัย ที่มีเพิ่มเติมเข้ามาในทุกรุ่น ควบคู่กับทางเลือกรุ่นย่อยที่หลากหลายมากขึ้น การปรับในครั้งนี้ เพื่อให้มาสด้า CX-8 มีความครบครันตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้ามากยิ่งขึ้นจึงมาพร้อมทางเลือกใหม่ที่ลูกค้าเรียกร้อง โดยเพิ่มเติมมาในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 SP Exclusive แบบ 6 ที่นั่ง โดยมาพร้อมที่นั่งแถวที่สองแบบ Captain Seat แยกอิสระซ้าย-ขวา สามารถปรับเอน และเลื่อนหน้า-หลังได้ พร้อมคอนโซลกลาง ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาอันมีค่าของครอบครัว มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบาย นอกจากนี้ในทุกรุ่นย่อยยังได้รับการยกระดับความคุ้มค่า ด้วยการเสริมเทคโนโลยีด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้ครบครัน อาทิ หน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน ขนาด 8 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน แบบ LED Signature ไฟท้ายแบบ LED Signature ระบบปรับองศาไฟหน้าตามการเลี้ยวของรถ AFS และเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด และด้านหลัง 4 จุด เป็นต้น

สำหรับห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ยังคงมาพร้อมเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ด้วยเบาะที่นั่งแถวสองแบบ 3 ที่นั่ง กว้างขวาง สะดวกสบายในทุกอิริยาบถ และสามารถขึ้น-ลงรถได้สะดวก พร้อมตอบรับทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต ด้วยความจุของห้องเก็บสัมภาระด้านหลังที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่เก็บสัมภาระ ให้เหมาะสมกับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เมื่อพับเบาะแถวที่สองและสาม เพื่อส่งมอบประสบการณ์ดีๆ และความเพลิดเพลินของทุกคนในครอบครัวได้อย่างลงตัวไปตลอดการเดินทาง

การออกแบบภายนอกและภายใน ยังคงพิถีพิถันในทุกรายละเอียดดุจงานศิลปะชิ้นเอก ภายใต้แนวคิด Kodo: Soul of Motion ถ่ายทอดความงามที่อยู่เหนือกาลเวลา  มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรูหรา ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Less is More” ที่เน้นความเรียบง่ายแต่งดงาม ห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีเข้ม ใช้วัสดุแบบ Real Wood และตกแต่งด้วยสีเงินซาตินโครม ผสานกับเบาะหนัง Nappa* สีแดง Deep Red รองรับการเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนผ่านระบบ Mazda Connect ที่มาพร้อม Apple CarPlay และ Android Auto โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีนใหม่ ขนาด 8 นิ้ว ควบคุมด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander ที่หรูหราและสะดวกสบายต่อการใช้งาน พร้อมเพิ่มความสุนทรีย์ภายในห้องโดยสารด้วยระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง

มาพร้อมประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า ถูกพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยและการใช้งานของทุกคนในครอบครัวเป็นหลัก มอบความสะดวกสบายด้วยการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถให้อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลาง ตามปรัชญามนุษย์เป็นศูนย์กลาง HMI (Human-Machine Interface) ช่วยให้ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนน มอบความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับรถ พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี บนกระจกหน้า (Windshield Active Driving Display) เพื่อตอบสนองการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

MAZDA CX-8 มีให้เลือก 2 เครื่องยนต์ ประกอบด้วย เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.5 ลิตร (SKYACTIV-G 2.5) มีใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น 2.5 S (แบบ 7 ที่นั่ง) รุ่น 2.5 SP (แบบ 7 ที่นั่ง) และรุ่น 2.5 SP Exclusive (แบบ 6 ที่นั่ง) มาพร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual S-VT ที่ถูกพัฒนาให้สามารถตอบสนองอัตราเร่งได้อย่างดีเยี่ยม ให้พละกำลังสูงถึง 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 258 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 13.2 กิโลเมตรต่อลิตร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

TC2_BR_MazdaCX-8IPM_P.14-P.15

ทางเลือกที่สองกับเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร (SKYACTIV-D 2.2) ในรุ่น XDL (แบบ 7 ที่นั่ง) และ XDL Exclusive (แบบ 6 ที่นั่ง) มาพร้อมระบบวาร์ลไอเสียแปรผันอัจฉริยะ VVT และระบบเทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น ที่ได้รับการพัฒนาให้ตอบสนองรวดเร็วและแม่นยำยิ่งกว่าเดิมในทุกรอบความเร็ว และในรุ่น XDL Exclusive ยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD* ที่ช่วยปรับระบบการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนน แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันสูงถึง 17.5 กิโลเมตรต่อลิตร4 และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อัดแน่นไปด้วยระบบความปลอดภัยระดับโลกกับ i-Activsense ที่จะช่วยคาดการณ์และส่งสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น ประกอบด้วย

  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (Lane-keep Assist System)
  • ระบบเตือนเมื่อผู้ขับขี่เหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Alert)
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถเบี่ยงออกนอกเลน (Lane Departure Warning System)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Mazda Radar Cruise Control)
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาในขณะถอยหลัง (Rear Cross Traffic)
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Advanced Blind Spot Monitoring)
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ (Smart Brake Support)
  • ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance (Advanced SCBS)
  • ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (Smart City Brake Support-Reverse)
  • ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive LED Headlamps)
  • ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง (360o View Monitor)
  • อีกทั้งยังปกป้องทันทีจากอุบัติเหตุด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวม 6 ตำแหน่ง เพื่อมอบความปลอดภัยสูงสุด

นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาจากโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์นั่งมีตัวเลือกในตลาดน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นประเภท PPV ที่มีโครงสร้างพื้นฐานมาจากรถกระบะ ซึ่ง โครงสร้างตัวถัง แซสซี ระบบช่วงล่าง และระดับความสูงจากพื้น กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเด็กและผู้สูงอายุในการเข้า-ออก หรือขึ้น-ลง และเป็นเครื่องยนต์ดีเซลชนิดเดียวกันกับรถกระบะ ที่สำคัญ การโดยสารของแถวที่สามนั้นไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร ประกอบกับมีราคาที่แตกต่างกันมากตั้งแต่ระดับล้านต้นๆ จนถึงเกือบสองล้านบาท ดังนั้น การวางราคาจำหน่ายที่เริ่มต้นเพียง 1.4 ล้านบาท จะทำให้ CX-8 กลายเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของลูกค้า ที่จะได้ทั้งความสะดวกสบาย และความภูมิฐาน หรูหรา เหนือมีระดับ บ่งบอกรสนิยมของผู้ขับขี่

ราคาจำหน่าย NEW MAZDA CX-8

รุ่นเครื่องยนต์รูปแบบห้องโดยสาร (ที่นั่ง)ราคาจำหน่าย (บาท)
2.5 SSKYACTIV-G 2.571,499,000
2.5 SPSKYACTIV-G 2.571,599,000
2.5 SP EXCLUSIVESKYACTIV-G 2.561,639,000
XDLSKYACTIV-D 2.271,799,000
XDL EXCLUSIVESKYACTIV-D 2.262,069,000

มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีแดง โซล เรด คริสตัล (Soul Red Crystal), สีเทา แมชชีน เกรย์ (Machine Gray), สีดำ เจ็ท แบล็ก (Jet Black), สีเงิน โซนิค ซิลเวอร์ (Sonic Silver), สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล (Snowflake White Pearl), สีน้ำเงิน ดีพ คริสตัล บลู (Deep Crystal Blue)

ลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของสามารถพบกับข้อเสนอพิเศษในช่วงเปิดตัว กับดอกเบี้ยต่ำสุด 0%1 หรือ 1.99%2 ฟรีประกันภัยชั้น 1 Mazda Premium Insurance 1 ปี3 และ Mazda Care Program หรือโปรแกรมบำรุงรักษา 3 ปี4

วอลโว่ บัส จัดโปรโมชั่น ลดแรง40%รับปลายฝนต้นหนาว

บริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัด กระตุ้นตลาดบริการหลังการขาย จัดโปรอะไหล่ชุดยกเครื่อง 45% และชุดระบบไฟ สูงสุด 40%

รายงานข่าวจากบริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถโดยสารวอลโว่ บัส เปิดเผยว่า บริษัทได้ จัดโปรโมชันพิเศษ 2 รายการเพื่อเตรียมพร้อมรับฤดูท่องเที่ยว สำหรับลูกค้าที่นำรถวอลโว่ บัส เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการ 15 แห่งกระจายทั่วประเทศ โดยรายการแรก เป็นการโปรโมชั่นชุดยกเครื่องยนต์ภายใต้แนวคิด “ได้เวลายกเครื่อง ให้รถคุณฟิตกลับมาเหมือนใหม่” โดยเสนอส่วนลดสุดพิเศษอะไหล่สำหรับการยกเครื่องยนต์ 45% และส่วนลดค่าแรง 20% พร้อมรับประกันอะไหล่นาน 2 ปี

อีกรายการหนึ่งได้แก่ การโปรโมชั่นอะไหล่ระบบไฟฟ้า ประกอบด้วยชุดสายไฟหัวฉีด สายพานไดชาร์จ ไดชาร์จ เสื้อปลั๊กไฟ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบไฟฟ้า โดยเสนอส่วนลดอะไหล่พิเศษ 40% พร้อมค่าแรงพิเศษในอัตราชั่วโมงละ 600 บาท พร้อมรับประกันอะไหล่นาน 2 ปี โปรโมชั่นสุดคุ้มรับปลายฝนต้นหนาว เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564

การจัดโปรโมชันครั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าได้ตระหนักถึงการบำรุงรักษาตามรอบอายุการใช้งานของเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นหัวใจของการนำรถโดยสารออกให้บริการลูกค้า อีกทั้งวอลโว่ บัส ให้ความสำคัญกับการนำรถเข้ารับบริการตรวจเช็คที่ศูนย์บริการอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นมาตรการรักษาคุณภาพการให้บริการรถบัสที่ดีอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งสอดคล้องกับค่านิยมขององค์กรเราที่เน้นเรื่องความปลอดภัย คุณภาพและเทคโนโลยี

อีซูซุปรับโฉม ไมเนอร์เชนจ์ (My2021) กระบะดีแมคซ์และเอสยูวี

อีซูซุ เปิดตัว ดีแมคซ์ไมเนอร์เชนจ์ พร้อม “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” รับฤดูขายปลายปี64

       กรุงเทพ-8 ต.ค.64-   อีซูซุเจ้าตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ เดินหน้าลุยตลาดรถช่วงปลายปี  ปรับโฉมรถรุ่นใหม่(ไมเนอร์เชนจ์)ครบทุกรุ่น เข้มขึ้น ดุขึ้น นำโดย “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์” ภายใต้แนวคิด “MY NEW ID..MY NEW ISUZU D-MAX” 

อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์” ปรับเพิ่มลุคสปอร์ตยิ่งขึ้น และรถอเนกประสงค์สุดหรู “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” เต็มฟังก์ชั่นความปลอดภัยใหม่ในระบบ ADAS โดย อีซูซุดีแมคซ์” และ “ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์” มีกำหนดลงตลาด ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.64
และ “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.64 เป็นต้นไป ณ โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ

นายโทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์อีซูซุ จากญี่ปุ่น เปิดเผยว่า อีซูซุได้แนะนำรถยนต์ใหม่ โดยปรับปรุงรถในไลน์อัพทุกรุ่น(ไมเนอร์เชนจ์) ซึ่งการปรับปรุงผลิตภัณฑ์นี้ เป็นการ ปรับรุ่น อีซูซุดีแมคซ์ เพื่อ

ให้มีความทันสมัย โฉมใหม่ของ อีซูซุดีแมคซ์ เข้มขึ้น ดุขึ้น
อีซูซุดีแมคซ์ เป็นปิกอัพ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เนื่องจากเป็นรถที่มีการพัฒนาแบบ ไร้ขีดจำกัด สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในทุกครั้งที่มีการแนะนำรถรุ่นใหม่ และยังคงกระแส “ดีแมคซ์ฟีเวอร์” นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกใน

โลกที่เมืองไทย ต่อเนื่องถึงการเปิดตัว “ออลนิว อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…พลิกโลก” เมื่อปลายปี พ.ศ. 2562 หรือแม้แต่ปัจจุบันที่ตลาดรถยนต์หดตัวลงจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อรถยากขึ้น อีซูซุดีแมคซ์ก็ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ใช้รถ

ในเมืองไทย
สำหรับรถปิกอัพรุ่นล่าสุดสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด “MY NEW ID..MY NEW ISUZU D-MAX” ตัวตนใหม่ที่เป็นคุณ มาพร้อมสีเทาโอเพคใหม่! (Islay Gray Opaque) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก ที่มีคุณสมบัติพิเศษให้มุมมองสีหลากหลายมิติ ไล่ระดับจาก

เทาประกายมุก ไปจนถึง เทาเข้ม แตกต่างตามมุมตกกระทบของแสง ซึ่งสีพิเศษนี้มีให้เลือกใน “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์” ทุกรุ่น
นอกจากนี้ยังมี “ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์” ปิกอัพสไตล์สปอร์ต ซึ่งมาพร้อมชุดแต่งจัดเต็ม ทั้งรุ่นย่อยอย่าง SPEED ให้อารมณ์เรซซิ่ง และรุ่น HI-LANDER
ในส่วนของรถเอนกประสงค์ อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ที่เปิดตัวเมื่อปลายปี2563 มีการปรับปรุง ระบบความปลอดภัย จนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) โดยเพิ่มเติมฟังก์ชั่นความปลอดภัย ใหม่ ได้แก่ Turn Assist with AEB ระบบ

ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา โดยรถแต่ละรุ่นจะเปิดตัวต่อเนื่องตลอดเดือนตุลาคม

สำหรับรายละเอียดของการปรับเปลี่ยนพิเศษในแต่ละรุ่น ได้แก่

  อีซูซุวี-ครอส 4x4 (ISUZU V-CROSS 4x4)  เครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์  เติมเต็มความเข้มดุสไตล์สปอร์ตทรงพลังในทุกมิติของรถด้วย ใหม่! กระจังหน้าแบบ Double Dimensions ดีไซน์แบบทูโทน สีเทาดำ และ Black Chrome  พร้อมไฟท้าย ดี

ไซน์โทนสีเข้ม Front Bumper Guard สีทูโทน พร้อมชุดแต่งสีเทาดำรอบคัน ที่กระจกมองข้าง ราวหลังคา มือจับประตู บันไดข้าง Fender Lip, Robust Extender เพิ่มความดุดัน ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ แบบ Robust Radius สี Matte Black ห้อง

โดยสารอารมณ์ใหม่จากดีไซน์ High-Class & Sporty เน้นสีแบบทูโทน ดำ-น้ำตาล คอนโซลหน้าสีดำ เบาะคู่หน้าดีไซน์ใหม่ เดินด้ายสีน้ำตาล และพวงมาลัยสัมผัสใหม่ สีทูโทน พร้อมออกแบบให้มิติห้องโดยสารกว้างขวาง โอ่อ่า แบบ Sharp

Horizontal Layers เล่นระดับกับแผงข้างประตู พร้อมวัสดุตกแต่งพรีเมี่ยม สี Brown Cafe และ Satin Silver เพิ่มความสปอร์ต
อีซูซุดีแมคซ์ (ISUZU D-MAX) รุ่น CAB 4, HI-LANDER และ SPACECAB ปรับเปลี่ยน กระจังหน้าแบบDouble Dimensions ดีไซน์แบบทูโทน สี Chrome และ Dark Gray Metallic พร้อมไฟท้ายดีไซน์โทนสีเข้ม และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วใหม่ สีทูโทนดีไซน์แบบ Robust Radius ในรุ่น HI-LANDER ภายใน ใช้วัสดุพรีเมี่ยมเพิ่มความหรูด้วย Piano Black และ Satin Chrome เบาะนั่งดีไซน์ใหม่ โอบกระชับ พร้อมเทคโนโลยี COOLMAX ช่วยลดการสะสมความร้อน

เบาะนั่งคู่หน้าเทคโนโลยี AVEC (Anti Vibration Elastic Comfort) ซับแรงสั่นสะเทือน ลดความเมื่อยล้า เบาะปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางในตำแหน่งที่นั่งคนขับ และ เพิ่ม เกียร์อัตโนมัติ ใน HI-LANDER และ CAB 4 ในรุ่น LDA

อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์ (ISUZU X-SERIES) เครื่องยนต์อีซูซุ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ Gen 2 กระจังหน้าแบบ Double Dimensions ใหม่เน้น สไตล์สปอร์ตด้วยดีไซน์แบบทูโทนสีดำ Glossy Black ผสานสีแดงเข้ม Garnet Red พร้อมไฟท้ายโทนสี

เข้ม สัญลักษณ์ ISUZU สีแดง
รุ่นย่อย SPEED สติกเกอร์คาดหน้า-หลัง ดีไซน์ เป็นเอกลักษณ์ สีเทาพร้อมขอบแดงใหม่ Garnet Red มสะดุดตา พร้อมสัญลักษณ์ X ที่ด้านหน้า
รุ่นย่อย HI-LANDER สติกเกอร์คาดหน้า-หลัง พร้อมสัญลักษณ์ X ที่ด้านหน้าตกแต่งขอบด้วยสีเงิน Silver-Gray ในรุ่นสีขาว / ตกแต่งขอบด้วยสีทอง Light Gold-Silver ในรุ่นสีดำ ใหม่! ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สีดำ Glossy Black ดีไซน์เท่แบบ Robust

Radius เสริมความสปอร์ตพรีเมี่ยม โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง เข้ม

อีซูซุมิว-เอ็กซ์” (ISUZU MU-X) เพิ่ม Turn Assist with AEB ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา ในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย
รถอีซูซุทุกรุ่นยังได้เพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ “เตือนการรับบริการ” เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้าในการเข้ารับบริการหลังการขายจากอีซูซุ

กระบะอีซูซุ ไมเนอร์เชนจ์ เปิดตัว ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม2564 เป็นต้นไป และ “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์ เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม ศกนี้ เป็นต้นไป