“โมค” (MOKE ) รถอังกฤษ กำเหนิดขึ้นในปี 1960 เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีตำนานยาวมากว่า 50 ปี ผู้ที่ออกแบบโมค คือเซอร์ อเล็ก อิซซิโกนิส
สิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงคือ ออสติน มินิ ด้วยสภาพแวดล้อมในขณะนั้น รถเล็กๆ แบบทหารยี่ห้อ โมคก็เกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่หลายอย่าง และกลายเป็นที่มาของรถที่มีบุคคลิค เป็นตัวของตัวเองที่หาตัวจับยาก หลังจาก อิซซิโกนิส สร้างรถที่ยิ่งใหญ่อย่าง มินิ และ โมค ในนาม BMC MOKE ได้3 ปี ยุโรปก็เข้าสู่ยุคสงคราม โมคถูกวางตัวให้เป็นยานพาหนะทางการทหารในยุคนั้นต้องการรถบรรทุกเล็ก สามารถหย่อนลงมาจากเครื่องบินได้ หรือพับกระจกหน้าลงและแพคใส่ลังขนไปได้ นั่นคือวีรกรรมของโมค การโรยตัว ลงมาจากเครื่องบินก็มีให้เห็นบ่อย
จากความต้องการใช้งานดังกล่าว จะเห็นว่า การผลิตรถไม่ได้ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน เพื่อให้เรียบง่ายที่สุดรถต้องน้ำหนักเบา ณ.วันนี้โมคไม่มีการเปลี่ยนแปลง มรดกการผลิตที่ออกแบบไว้แต่เก่าก่อนแต่อย่างใด นับจากที่หมดยุคสงคราม ก็มีการทำโมคออกมาขายให้แก่ประชาชนทั่วไป เหมือนตอนที่มันเกิดใหม่ๆ ในปี 1972โมคเริ่มส่งรถรุ่นพิเศษไปขาย ที่ ออสเตรเลีย และก็ส่งไปยัง อเมริกา รุ่นส่งส่งออกพิเศษนี้ ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในฐานะ โมค แคลิฟอร์เนีย ก่อนจะหยุดผลิตโดยสิ้นเชิงในปี1993
การปลุกโมคให้มีชีวิตเริ่มขึ้น ในปี2012 โมคถูกปลุก ให้โลดเล่นบนถนนอีกครั้งด้วยเจ้าของใหม่เป็นบริษัทจากออสเตรเลีย ร่วมกับเณอรี่ของจีน (ในอดีต โมค เคยอยู่ในกลุ่มโรเวอร์ ใช่ชื่อว่า มินิ โมค และขายให้กับทางกลุ่ม คาจิวา อิตาลี) โดยมีทีมนักออกแบบนานาชาตินำโดย นักออกแบบหนุ่ม ไมเคิล ยัง “ ได้เข้ามารีดีไซน์ โมคใหม่ซึ่งการฟื้นฟู โมค เขายังคงดำรงค์เอกลักษ์ของรถไว้ ทุกสิ่งที่ เซอร์ อเล็ก อิซซิโกนิส ออกแบบไว้จะเปลี่ยนใหม่เพียง ลายล้อแมกซ์ เบาะนั่งให้ใช้วัสดุที่ทนแดด ทนฝนมากขึ้น และปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยด้านหน้าและด้านหลัง
ตัวรถขนาด รูปทรง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเราจึงเห็น รถตัวถังเดี่ยวปั้มขึ้นรูป เปิดหลังคาแน่นอนมันยังคงไม่มีประตู เหมือนเดิม ขนาดที่นั่งรองรับ 4 ที่นั่ง ขนาดเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1000cc (SQR472F) แถวเรียง 4 สูบ 50 แรงม้าที่ 6000รอบต่อนาที แรงบิดที่ 93 นิวตันเมตรที่3500-4500รอบต่อนาที (อดีตโมคผลิต 2 เครื่องยนต์โดยมีรุ่น 1275cc ในเวอร์ชั่นแคลิฟอร์เนีย) โดยเครื่องวางหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ธรรมดา 5 สปีด
โมคในเมืองไทย อดีตเคยเปิดขายเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วคู่กับมินิ ออสติน ในปัจจุบันตัวแทนจำหน่ายโมคอย่างเป็นทางการ คือ บีอาร์จี โดยสมศักดิ์ ศรีรัตนประภาส ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่เคยขายโมคเมื่อ30กว่าปีที่แล้วโดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพ.ย.2557 ในงานมหกรรมยานยนต์ที่เมืองทองธานี
“โมคสมัยก่อนคนไทยเรียกว่า “จี๊ปเล็ก” เพราะว่า รถจี๊ปเป็นที่รู้จักกันดี ส่วนจี๊ปใหญ่จะหมายถึง จี๊ป ที่ผลิตโดยบริษัท วิลลี่และฟอร์ด ที่คุ้นตากันตามค่ายทหาร”
เมื่อเร็วๆ นี้ บีอาร์จี ก็จัดให้มีการลองขับรถ โมคซึ่งเป็นคันเดียวที่โชว์อยู่บนเวที บางกอก มอเตอร์โชว์ ในขณะนี้ โดยเราต้องเดินทางไปแถวพระราม2 ด้วยเบนซ์ สปินเตอร์คันใหญ่เพื่อไปขับโมค ซึ่งจอดรออยู่แถวบางตะบูนเนื่องจากในเมืองไทยโมคอยู่ระหว่างการขอจดทะเบียน จากขนส่งทางบกที่กำลังหาสังกัดให้
สิ่งแรกที่เห็นคือ นี่มันโมครถในตำนานจริงๆ หรือนี่ ดูทำไมมันมีแต่เหล็กผมคิดในใจว่า นี่มันรถหลงยุคนี่นา สิ่งที่โมคทำมันช่างเรียบง่ายเหลือเกิน ไม่มีส่วนไหนที่ปรุงแต่งเพื่อความสุนทรี ทุกอย่างออกแบบมาให้ใช้งานได้เท่านั้น
หน้าปัด เป็นแผงเหล็ก แผ่นๆ แล้วเจาะฝัง มิเตอร์ต่างๆ แบบจี๊ปทหาร พวงมาลัย ทิ้งดิ่งลงไปตรงๆ ลงพื้นไม่หันเหองศาให้ใคร ส่วนพื้นมียางบางๆ ไม่มีพรมรองหรือวัสดุซับเสียง ใดๆ เพราะว่าโมคเป็นรถเปิดประทุน พร้อมที่จะเปียกและเผชิญอากาศร้อนได้ในทุกวินาที โรลบาร์พร้อมกับเข็มขัดนิรภัย ก็ให้เปลือยหัวน็อต ยึดกันให้เห็นจะๆ
ส่วนเบาะนั่งเลื่อนได้ระยะเล็กน้อย ไม่เอื้อต่อคนแขนขาสั้น (ระยะเขาไซด์ฝรั่ง)การเข้าสู่ตัวรถต้องก้าวเข้าไปในตัวถัง หรือไม่ก็โหนโรลบาร์เหนียบกาบข้างรถเข้าไป โดยพื้นฐานแล้วโมคไม่ใช่รถสูง พอทิ้งตัวลงนั่ง จึงเหมือนใกล้ชิดกับถนนมากขับทดสอบกันตอนเที่ยงตะวันตรงหัว แค่เริ่มนั่งก็อารมณ์เปลี่ยนแล้ว เบาะPVC ร้อนก้นมาก
ก่อนขึ้นรถอย่าลืมกดรีโมทนะครับ สร้างความสังสัยในทันที ไม่รู้จะมีรีโมทไว้ทำไม ? ถามไปถามมา ทราบว่า เขาให้ไว้เพื่อ เปิดระบบกันขโมย ไม่ได้มีไว้เปิดประตู
ผมลองสตาร์ทเครื่องฟังเสียง เครื่องเดินเงียบดี กดแป้นคลัชน์ มันดูดเท้าจมลึกหายไปเกือบสุดขา ควานหาก้านเกียร์ ระยะฟรีเยอะ มากมาย
เกียร์หนึ่งอยู่ บางนา เกียร์ 2อยู่ พระโขนง เกียร์ สามพอรับได้ แต่เกียร์สี่ไปเกียร์ห้านี่ น่าจะราว บางนา ไปรังสิตมันกว้างสุดเอื้อมแท้ๆ (แต่ก็ได้อารมณ์รถเก่านะ)
แม้ว่าอากาศจะร้อนสุดๆ ผมก็ไม่ท้อ ที่จะขับโมค ออฟชั่นของรถมีหลังคาผ้าใบไว้ให้ แต่ผมตกลง ขับแบบไม่เอาผ้าใบ เนื่องจากไม่มีวี่แววของปุ่มแอร์ในรถอู่เลย ขืนเอาผ้าใบปิด ต้องกลายเป็น”กุ้งอบรถโมค”แน่นอน
หลังจากทำตัวเคยชินกับเบาะพีวีซีร้อนๆ ได้สักพัก โมคที่อยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีเมื่อ50 ปีที่แล้ว ก็อยู่ในการควบคุมของผม โดยปล่อยให้ลมปัดหัว วิ้งๆ ขับเลาะนาเกลือแถวนั้นอย่างพริ้วไหว พร้อมกับการกระแทกกระทั้นอย่างปราณี ของช่วงล่างแมคฟอร์สันสตรัท
ผมได้โอกาสย่อยเมนูอาหารทะเล ที่อัดไปจากร้านลุงญา หรือครัวบางตะบูน (ร้านดังของบางตะบูน ) ที่โด่งดังไปพร้อมกับการเดินทางสั้นๆ บางตะบูน ถนนพระราม2
มาถึงวาระลองความเร็วสูงสุด โมคไม่ได้คุยเกินเลยไปจากในโบชัวร์เลย โบชัวร์บอกไว้ว่ารถทำความเร็วสูงสุด 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมก็ไปสุดไมล์ ได้ 110 เช่นกันแม้จะต้อง มือประคอง กระจกมองข้างที่คอพับคออ่อนเพราะคมแรงกับต้องเกาะตูดดูดควันสิบล้อ บนบนถนนพระราม2 บ้างก็ตาม รถขับสนุกจริงๆ
ผมเชื่อคำพูดของ “ไมเคิล ยัง” นักออกแบบหนุ่มที่บอกว่าการฟื้นฟูโมคของเขานั้นยังคง จิตวิญญาณของโมคเก่าไว้ 100% ผมเชื่อด้วยสิ่งที่เห็น อารมณ์หลังสิ้นสุดการทดสอบ ผมเหมือนขับโกคาร์ท คือสนุกและอิสระต้องมองหน้ามองหลังให้ดี ส่วนสภาพผมเผ้า เสื้อผ้า ราวกับขับ ยามาฮ่า อาร์3 ไปกลับสัก 300 โล
ถ้าใครเห็นนักท่องเที่ยว แถวเกาะช้าง ภูเก็ต เชียงราย เชียงใหม่ ขับคันนี้ก็ทักทายเขานะครับ เพราะว่า เขาเหล่านั้นต้องมี แรงบรรดารใจ จริงๆ จึงเลือกสุขฤทัยไปกับโมค วันที่ผมกลับจากทดสอบแล้วไปเดินเที่ยวมอเตอร์โชว์ เห็น เจ้าคันที่ผมขับโชว์เป็นพระเอกเวทีของBRG รายล้อมไปด้วย เหล่า พริตติ้ ตอนผมขับยังกับเตาอบ ไม่สงสารกันบ้างเลย นักแล้วอิจฉาพริตตี้ บีอาร์จี ปีนี้จริงๆ ได้นั่งโมคในห้องแอร์เย็นๆ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบหากอยากได้ครอบครอง อ่ออย่าลืม ควัก6.99แสนบาทไว้ เป็น ค่าตัวโมคด้วยล่ะครับ[fblike]