พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองประธานกรรมการ บริษัท เอ็มจี เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นคีย์แมนคนสำคัญในฐานะผู้กำกับแนวทางความเป็นไปของรถเอ็มจี (MG)จากอังกฤษ ติดตามภาระกิจของเขา กับช่วงเวลา1 ปีที่ผ่านมาในการแจ้งเกิดแบรนด์ MG
ยอดขายของเอ็มจีปัจจุบันเป็นอย่างไร
เอ็มจี เราเปิดตัวรถครั้งแรกกลางปี2557 โดยเริ่มเดินสายการผลิตในเดือนพ.ค. เราแนะนำรถครั้งแรก เดือนมิ.ย.2557 กว่าสายพานการผลิตของโรงงานจะคงที่ได้ การส่งมอบรถคันแรกให้ลูกค้า คือเดือนส.ค. 2557 มาถึงวันนี้ก็ประมาณ 1 ปีเศษ โดยรถตัวแรกที่เปิดตลาดคือเอ็มจี6. พอมา ปี2558 ตอนช่วงปลายเดือนมี.ค. เราแนะนำรถเอ็มจี3 ในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2015 และเริ่มส่งมอบรถเอ็มจี3คันแรกได้หลังสงกรานต์ (เม.ย.2558)จนถึงวันนี้เอ็มจีสามารถส่งมอบรถได้ทั้งหมด 3,000 คัน ส่วน ปี2558 นี้เราหวังว่าเอ็มจีจะมียอดขาย ประมาณ 5,000 คันยอดที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะเรามีรถใหม่คือ เอ็มจี 5 ที่จะเข้ามา และเริ่มส่งมอบรถได้ในเดือนธ.ค.2558นี้
การรับรู้แบรนด์เอ็มจีน่าพอใจแค่ไหน
ถึงแม้ว่าเอ็มจีจะเป็นแบรนด์รถยนต์ที่เก่าแก่เพราะมีอายุมากกว่า 90 ปี (ตั้งแต่1924) ถามว่าคนไทยรู้จักหรือไม่? ตอบคือ ก็มีบ้างแต่คนไม่รู้จักก็เยอะ คือ คนรู้จักในอดีตว่าเป็นรถสปอร์ต รถขนาดเล็กแต่ปัจจุบันเอ็มจีวางตำแหน่งในตลาดโลกเป็นรถแมส ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราจะต้องสร้างการรับรู้และอีกส่วนหนึ่งคือแบรนด์เอ็มจี อดีตมองตลาด นิช มาร์เก็ตวางตำแหน่ง(Position) เป็นรถแข่ง มาวันนี้ต้องมองเรื่องการอยู่รอดในอุตสาหกรรมดังนั้น เอ็มจีก็มองตลาดกว้าง (Mass Market) มากขึ้น
ดังนั้นเมื่อเป็นรถแมส แล้วจึงต้องมองตลาดทุกเซ็กเมนต์ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ขนาดใหญ่ (D segment) หรือ รถเอสยูวี ที่ผ่านมาเราเข้าตลาดรถคอมแพค ( C segment) คือ เอ็มจี6 จะเห็นว่ารถของเราและจะเน้นตัวถัง( body) ที่ใหญ่กว่ารถในกลุ่มเดียวกัน เน้นเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ ที่เรียกว่าบริชไดนามิก แต่ราคาสมเหตุสมผล
แบรนด์เอ็มจี ในใจคนไทยชัดเจนมากน้อยแค่ไหน
ปัจจุบันนี้เมืองไทยเราถูกครอบครองด้วยรถญี่ปุ่น รถญี่ปุ่นนั้นมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 80 % บุคคลิกของรถญี่ปุ่นคือ ความสะดวกสบาย ขับขี่สบายนุ่มนวล ประหยัดน้ำมันเนื่องจากการออกแบบโครงสร้างของรถญี่ปุ่น เน้นน้ำหนักเบา เป็นอันดับแรก ส่วนรถยนต์ฝั่งยุโรป เราจะพบว่าเป็นรถที่ออกแบบโครงสร้างที่แตกต่างไป เน้นเรื่องสมรรถนะการขับขี่ อุปกรณ์เรื่องความปลอดภัย ดังนั้นน้ำหนักของรถยุโรปจะเยอะ ญี่ปุ่นทำรถเบาใช้งานง่าย ราคาไม่แพง เมื่อเอ็มจีมาเราก็พยายามใช้บุคคลิคของรถยุโรปแต่ ทำราคาให้มันสามารถแข่งขันได้กับรถญี่ปุ่น ซึ่งมันเป็นจุดที่รถยุโรปในตลาดไทย ยังไม่มีค่ายไหนโดดเด่นขึ้นมา
พอใจยอดขายปี58นี้หรือไม่
ยังไม่พอใจเรายังอยากได้มากกว่านี้แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้เป้าขายเราลดลง จากที่เคยตั้งเป้าไว้ประมาณ 6,000 คัน ปีนี้จึงยังไม่สามารถบรรลุเป้าได้ ส่วนปีหน้าเรามีรถโมเดลใหม่และรถรุ่นเอ็มจี3 เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น เอ็มจี3 จึงจะเป็นตัวขายหลักทำยอดขายให้เราโดยที่ผ่านมา ได้ส่งรถไปแล้วร่วม 3,000 คัน ปี2558 คาดว่า เอ็มจี5 จะเป็นอีกหนึ่งรุ่นหลักที่ทำยอดขายดังนั้นบริษัทจะมี 2 โมเดลหลักที่ลงไปแข่งขัน ในเมนสตรีมของตลาดรถ
อะไรคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำตลาด เอ็มจี
ท้าทายมากเพราะว่า เราเป็นแบรนด์รอง ซึ่งแต่ล่ะแบรนด์ในตลาดต่างก็ก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เอ็มจีพยายาม พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อให้ยอดขายแข็งแรง
เอ็มจีมีการวางตำแหน่างในตลาดใหม่ ถือว่า มีความท้าทายและคาแรคเตอร์ของรถเอ็มจี มันแตกต่างไปจากกลุ่มรถในเมนสตรีม ของตลาดที่มีแต่รถญี่ปุ่น เรามาอีกทางหนึ่ง จะต้องทำอย่างไรเพื่อสื่อสารให้ลูกค้ายอมรับ นี่เป็นเรื่องที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
ซึ่งความความสำเร็จของรถยนต์สุดท้ายมันอยู่ที่กลับมาที่การทำแบรนด์ให้คนยอมรับ เหมือนกับเราสร้างเรื่อง (Story) ผมยอมรับว่าเอ็มจี6 รถโมเดลแรกที่เข้าตลาดไม่ได้สร้างสตอรี่เลย พอมาก็เข้าตลาดเลย การสร้างเรื่องราว ก็เพื่อให้ตลาดเข้าใจว่า มันคืออะไร จนกระทั่งเราทำให้เอ็มจี3 คนก็เข้าใจมากขึ้นว่าทำไมเราอยู่ตรงนี้
ดีลเลอร์เน็ทเวิร์คขยายตัวไปอย่างไรแล้ว
เราเซ็นสัญญาแล้วมีทั้งหมด 53 รายเริ่มเปิดให้บริการแล้ว 35 แห่งและอยู่ระหว่างก่อสร้าง 18แห่ง ปีนี้คิดว่าคงจะเปิดให้ได้ประมาณ 40 แห่งปีหน้าเราจะเพิ่มอีกเท่าตัว
ทำไมดีลเลอร์เอ็มจี มีหลายไซด์ต่างกันมาก
เราอยากได้เหมือนกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ดูสมบูรณ์แบบสวยงามแต่ในช่วงแรกนักลงทุนก็ไม่มั่นใจเรา เอ็มจีก็ต้องสร้างความมั่นใจว่าเราสามารถทำตลาดได้ ดีลเลอร์ชุดแรกอาจมองว่าไม่คุ้มดังนั้นมันเลยมีขนาดแต่งกัน 2 รูปแบบ แต่เชื่อว่าต่อไปก็จะดีขึ้นเรา จะพัฒนารายเล็กให้เป็นเล็กแบบมีคุณภาพให้ได้
และเราจะเติบโตโดยเฉพาะในต่างจังหวัด
มีความเห็นอย่างไรกับนโยบายที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ
คิดว่ารถยนต์คงจะไม่กล้ามากที่จะทำอะไรไป เพราะว่ารัฐบาลไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง และหลังจากรถยนต์คันแรกมาแล้ว ยังมีเรื่องของภาษีที่จะต้องเดินหน้าในปีหน้า ดังนั้นในภาพรวมคงจะไม่กล้ามาก ภาพรวมจะค่อยๆสร้างตลาดมากกว่า
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหลังภาษีสรรพสามิตใหม่เริ่มใช้
ผมว่ามีทั้งผลดีและผลเสีย คือเราได้รถที่มีมลพิษน้อย ผลเสียคือ ภาษีใหม่ให้benefit แก่รถญี่ปุ่น อย่างที่บอกรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องน้ำหนักเบาอยู่แล้ว การปล่อยมลพิษจึงน้อยกว่ารถยุโรป เพราะยุโรป จุดยืนเรื่อง ความปลอดภัยใส่อุปกรณ์เข้าไปเยอะทำให้มันหนักซึ่งตรงนี้ตลาดเมืองไทยยังถูกชี้นำ โดยรถยนต์ญี่ปุ่น แต่ถามว่าดีหรือไหมระยะยาวมันดี
สถานการณ์ไม่เอื้อต่อรถยุโรปอย่างเอ็มจี
นโยบายภาครัฐยังคิดเฉพาะหน้า ไม่ได้คิดว่าต้องทำอย่างไรที่จะให้เกิดประโยชน์ยาวๆ หากจะส่งเสริมสิ่งแวดล้อมแบบจริงจังเช่นเรื่องรถไฟฟ้าในอนาคตอาจจะเป็นทางเลือกพิเศษ ไทยเราไม่มีความรู้เรื่องการผลิต ปัญหาคือเราเหมือนประเทศที่เรารับเทคโนโลยีมากกว่า ถ้าเราสามารถพยายามผลิตให้ได้เร็ว ก็จะดีแต่ก็เป็นไปได้ยากมากเพราะว่าเป็นเทคโนโลยีที่เขาไม่ปล่อย
ราคารถปีหน้าจะเป็นอย่างไร
คนที่กล้า พูดตอนนี้ว่า หากไม่ซื้อราคาจะสูงขึ้นปีหน้า คุณมีความเสี่ยงมาก คือถ้าพูดไปแล้วไม่ขึ้นเท่ากับคุณโกหกนะมันก็ไม่แฟร์กับคนซื้อ เท่ากับคุณหลอกลูกค้า แต่พอถึงเวลาคุณอ้างไม่ขึ้นราคาเพราะว่า คุณบอกลูกค้าว่าคุณทำตามเงื่อนไขภาษีได้เท่ากับ ไปหลอกให้ลูกค้ามาซื้อ และการขึ้นราคาตอนนี้ ต้องมานั่งคิดดีๆ ว่าขึ้นไปแล้ว 1 แสนบาทลูกค้าจะได้อะไร ไม่ใช่อยู่ดีๆขึ้นราคาแสนหนึ่ง
เอ็มจี จะเติบโตเป็นแบรนด์หลักของตลาดเกิดขึ้นได้หรือไม่
ภายใต้ตลาดของรถญี่ปุ่นที่ครอบครองส่วนแบ่งเสียเป็นส่วนใหญ่ มีมุมที่น่าสนใจว่า ค่ายญี่ปุ่นเองโอกาสที่แบรนด์รอง จะขึ้นมาก็ยาก คาแรคเตอร์มันคล้ายกันคล้ายกันมาก ทั้งโตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน มิตซูบิชิ ดังนั้นก็จะมีคนขายดีที่สุดในกลุ่ม และขายน้อย กว่าที่ญี่ปุ่นเขาเองจะขึ้นมามันยากมาก สถานะการณ์แบบนี้ เป็นโอกาสของเอ็มจี ที่มีโอกาสเหมือนกัน ในการที่เรามีความแปลกแยก ความแตกต่าง ที่เรามีถือเป็นโอกาส ถามว่าญี่ปุ่นเขาจะมาทำแบบเราไหมเขาก็ไม่ทำ
เบื้องต้นจะวัดความสำเร็จของเอ็มจีด้วยดัชนีอะไร
คงเป็นเรื่องยอดขายว่า สุดท้ายทำได้ตามเป้าหรือไม่ หากทำไม่ได้ต้องมาดูว่า อะไรคือปัจจัยที่เรายังทำได้ไม่ถึงเป้า เป็นเรื่องของตลาด หรือปัจจัยอื่นๆ เป้าหมายที่กำหนดไว้มีไว้เพื่อให้เราได้รู้ว่าควรจะปรับปรุงอะไรคือว่าถ้ามันทำยอดได้ตามเป้าขายตลอด เราก็จะไม่รู้ว่ามันมีอะไรที่ต้องปรับ “ถ้าเราไม่มีเป้า เราก็จะไม่มีการเติบโตแค่เราพอใจ”[fblike]