รถยนต์ใช้แล้วหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า”รถมือ 2″ นั้นมีหลายกลุ่ม เช่นรถเจ้าของขายเอง เรียกว่า รถบ้าน รถที่นายหน้าซื้อไปขายในเตนท์ เรียกว่า รถเต้นท์​และรถที่บริษัทเจ้าของแบรนด์ ขายเอง เรียกว่า รถเซอร์ทิฟายด์หรือแอพบรูฟ แต่การที่คนทั่วไปรับรู้กันมาก มีแค่  2 กลุ่ม ได้แก่ คือรถบ้าน กับ รถเต้นท์ ซึ่งสองประเภทนี้ก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้

        รถบ้าน คือ รถที่เจ้าของบ้านใช้เอง ประกาศขายเอง เป็นการซื้อขายกันตรงระหว่างเจ้าของรถกับผู้ซื้อ การซื้อรถแบบนี้มีข้อดีคือ ได้ซื้อกับเจ้าของรถโดยตรง ผู้ซื้อสามารถถามประวัติของรถได้ หาพบเจ้าของรถเป็นคนดี มีความจริงใจ ผู้ซื้อก็จะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ส่วนข้อเสีย รถบ้านส่วนใหญ่จะขายตามสภาพ การซื้อ-ขายไม่มีการรับประกัน ผู้ซื้อต้องเป็นคนหาแหล่งเงินกู้ หรือ ดำเนินการทางด้านเอกสารต่างๆ เอง เป็นต้น

    รถเต้นท์ คือ ไม่ใช่การซื้อ-ขาย โดยตรงกับเจ้าของ แต่เป็นซื้อ-ขาย ผ่านคนกลางหรือนายหน้า ซึ่งปัจจุบันการซื้อ-ขายในรูปแบบดังกล่าวมีทั้งประเภทรถเต้นท์ผ้าใบทั่วไป หรือ รถมือสองที่มีการลงทุนโชว์รูมที่ตกแต่งสวยงามทันสมัยวิธีการซื้อรถแบบนี้ มีข้อดี คือ สามารถไปดูรถได้สะดวก มีรถหลายรุ่น หลายปีให้เลือก มีบริการด้านเอกสาร การประสานงานกับสถาบันการเงิน แต่การเลือกซื้อรถเต้นท์ อาจมีค่าดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งนั่นอาจถือว่าเป็นข้อเสียของการซื้อรถเต้นท์

ในการดูรถมือสองจำเป็นต้องมีเทคนิคต่อไปนี้คือคำแนะนำ จากบริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน)

       1.เล่มแท้ เล่มเทียม ถูกสวมเล่มมารึป่าว

ผู้ใช้รถจำเป็นต้องมีการเสียภาษีทุกปี ซึ่งจากเล่มสมุดจดทะเบียนนี้ สามารถสังเกตได้ว่าเป็นเล่มแท้หรือไม่ ถูกสวมเล่มมาหรือเปล่า เพราะบางกรณีอาจพบได้ว่ารถสองคันแต่เป็นเล่ม  ทะเบียนเดียวกัน ซึ่งในสมุดจดทะเบียน สามารถดูได้ดังต่อไปนี้

เล่มทะเบียนหน้า 16 จะบอกถึงรายการเสียภาษี ทุกครั้งที่มีการเสียภาษีทุกปีจะมีการพิมพ์รายการเสียภาษีทุกครั้ง

เล่มทะเบียนหน้า 18 แสดงการเปลี่ยนโอนกรรมสิทธิ์ รถยนต์จดประกอบหรือไม่ มีการดัดแปลง หรือถูกเปลี่ยนสภาพมาหรือไม่ หรือหากเป้นการนำเข้า ได้ดำเนินการนำเข้าอย่างถูก  ต้องหรือเปล่า สามารถเช็คได้จากหน้าที่ 18 ซึ่งกรมขนส่งทางบกจะเป็นผู้แก้ไข

     2.ดูว่าใครเป็นเจ้าของมาก่อนจะเป็นดี
    การโอนเข้าชื่อผู้ขายก่อนจะมีประโยชน์กับผู้ซื้อในเรื่องความมั่นใจโดยเฉพาะผู้ขายที่จดทะเบียนในรูปแบบบริษัท

     3.เช็คอย่างไรว่านี้คือไมล์แท้
 ผู้ซื้อควรคำนึงถึงเลขไมล์ที่สอดคล้องกับปีรถ และสภาพภายใน, ภายนอก ที่สอดคล้องกับเลขไมล์ของรถคันนั้นๆ การทดลองขับก็สามารถบ่งชี้ถึงการดูแลรักษาที่สอดคล้องกับเลขไมล์ได้เช่นกัน

     4.ทดลองขับขี่ก่อนจะดีกว่า
 นอกจากสภาพที่สายตามองเห็นแล้ว ยังมีสิ่งที่ต้องคำนึงอยู่อีกมากมาย เพื่อสร้างความ     มั่นใจในการซื้อรถ และตรวจสอบความพร้อมของรถ โดยเฉพาะเครื่องยนต์หรือช่วงล่างนั่นเอง

     5.ผู้ขายต้องน่าเชื่อถือ  
  ผู้ขายเป็นบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีที่ทำการที่เป็นมาตรฐาน หรือ ตัวแทนที่ถูกแต่งตั้งจากบริษัทรถยนต์จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อได้ เพราะผู้จำหน่ายเหล่านี้จะมีการตวจสอบ และออดิตถึงสภาพความพร้อมของตัวรถที่จะขายให้กับลูกค้า จุดนี้เองจึงสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่าท่านได้ซื้อรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการรับประกันและความรับผิดชอบหลังการขาย

      6.สภาพรถสวยอาจมีคามเสี่ยง
 สภาพรถที่สวยภายนอก ไม่ได้บอกว่ารถคันนั้นจะดีเสมอไป อาจมีการผ่านอุบัติเหตุหนักๆ มาก็เป็นได้ หากต้องการสังเกตว่ารถเกิดอุบัติเหตร้ายแรงมาหรือไม่ ให้ดูที่สีของตัวถังรถ ว่ามีสีเพี้ยนหรือไม่สม่ำเสมอหรือเปล่า สีไฟหน้า สีไฟท้าย เป็นสีเดียวกัน ถ้าสีใหม่ต้องใหม่เหมือนกันทุกดวง   ไม่ใช่บางดวงเก่า บางดวงใหม่ นอกจากนั้นสภาพรถควรจะเป็นไปตามอายุของรถ

       7.ไฟแนนซ์ช่วยตรวจสอบรถ

  ยี่ห้อรถยนต์มีผลต่อยอดในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน รถที่มีความนิยมสูงก็จะได้สินเชื่อที่สูงตามไปด้วย ผู้จำหน่ายก็มีผลต่อยอดการขอสินเชื่อด้วยเช่นกัน ผู้จำหน่ายที่เป็นตัวแทนของรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ก็จะได้สินเชื่อที่มากกว่าปกติเพราะในแง่ของการขอสินเชื่อ สถาบันการเงินก็จะตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของรถยนต์ รถยนต์ที่สามารถตรวจสอบได้ก็จะสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินนั้นๆ ในการจัดไฟแนนซ์ให้กับลูกค้า ยิ่งผู้ขายมีความน่าเชื่อถือมาก ก็จะได้วงเงินของสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย  เมื่อลูกค้าซื้อรถผ่านไฟแนนซ์ ไฟแนนซ์เองก็จะเป็นผู้ตรวจสอบที่มาของรถให้กับลูกค้าอีกทางหนึ่ง ซึ่งน่าเชื่อถือ และสร้างความมั่นใจในรถคันนั้นๆ ได้ เช่นกัน

 อย่าลืมว่า เรื่องรถกับเรื่องเอกสาร เป็นเรื่องคู่กัน มือใหม่หัดซื้อรถมือสอง ควรศึกษาหาข้อมูลให้ครบรอบด้าน หากไม่แน่ใจว่าจะถูกยอมแมวขายหรือไม่ แนะนำให้ไปโชว์รูมที่ได้มาตรฐานมั่นคงถาวร[fblike]