มีสถานที่ท่องเที่ยวใดบ้างที่ทำให้คุณนึกถึงและยังคงถวิลหาแบบที่อยากจะกลับไปเยือนอีกครั้ง เชื่อว่าในใจของทุกคนย่อมมีคำตอบอย่างน้อยสัก
ที่หรือสองที่ และสำหรับผมนอกจากเมืองที่ไปได้บ่อยไม่มีเบื่ออย่างหัวหินและเชียงใหม่แล้ว ยังมีเมืองที่อิงแอบแนบชิดอยู่ข้างริมแม่น้ำโขง
อย่างเงียบสงบ เหมือนเป็นการเชื้อเชิญนักท่องเที่ยวผู้ที่ยังหลงรักของสงบ ชอบใช้ชีวิตในจังหวะช้าๆ ให้เข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านในท้องถิ่น เมืองในใจที่ผมยังคิดถึงและกำลังจะพูดถึงอยู่นี้ก็คือ ‘อำเภอเชียงคาน’ นั่นเอง
อำเภอเชียงคาน ถือว่าเป็นเมืองเล็กขนาดกะทัดรัด ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ถ้าหากจะเทียบกับการรองรับความหลงใหลของผู้คนจำนวนมากที่ได้มาเยือน ที่นี่อาจจะดูแออัดไปหน่อย ก็นั่นคงไม่ใช่ข้อจำกัดในการตามหาความสุขอย่างแน่นอน ก่อนหน้าที่ผมจะได้มีโอกาสไปเชียงคาน มีเพื่อนคนหนึ่งบอกเอาไว้ว่า “เดี๋ยวนี้เชียงคานไม่สวยเหมือนเดิมแล้ว ไปตอนนี้ก็คงไม่สวยเท่าเมื่อก่อนแล้วนะ” . . . ถ้าเรามองนี่คือคำเตือนด้วยความห่วงใย ผมถือว่าเป็นเรื่องที่น่าขอขอบคุณ แต่สำหรับผมแล้วในเมื่อคุณยังไม่มีโอกาสไปเห็นด้วยตาตัวเอง ก็ขอจงอย่าเชื่ออะไรให้ง่ายเกินไปนัก เพราะชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะเชื่อคำคนอื่นมากกว่าตัวเอง หรือถ้าหากคุณจะเชื่อเมื่อมีคนมาบอกว่าที่นั่นที่นี่ไม่ควรไปเพียงเพราะว่า “มันไม่สวยเหมือนเดิมแล้ว” แนะนำว่าให้นั่งอยู่บ้านเลย แล้วรอดูรายการท่องเที่ยวเอาไม่ต้องเที่ยวเองให้เสียเวลาเปล่า เพราะทุกสถานที่ผมเชื่อว่าก็ย่อมมีเรื่องราวที่ไม่น่าดูเท่าไร หรือแม้ว่ามันอาจจะไม่สวยเท่าวันวาน แต่ทุกอย่างหลายมุมมอง อยู่ที่ว่าเราไปแล้วจะค้นหาความงามของที่นั่นเจอหรือเปล่า (อาจจะดูเครียดไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าขณะเขียนอยู่นี้ ผมนั่งยิ้มไปด้วย!)
จากกรุงเทพมหานครก็ใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง (เส้นทางกรุงเทพ-สระบุรี-ด่านขุนทด-ชัยภูมิ-ชุมแพ-เลย-เชียงคาน) แนะนำว่าถ้าไม่ชำนาญเส้นทางก็หาเช่าเหมารถตู้ไปเที่ยวกับเพื่อนก็สนุกดีไปอีกแบบ เนื่องจากถ้าจะให้ดีควรออกจากกรุงเทพสักประมาณ 22.00 น. ขับรถกลางคืนแบบนี้ให้คนชำนาญเส้นทางพาไปดีกว่า ขับเองเหนื่อยแล้วเดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุกอีกต่างหาก ประมาณสัก ตี 5 ครึ่ง เราก็จะถึงเชียงคาน เมืองสงบที่ได้รับการพูดถึงที่ยังคงความเป็นดิบเอาไว้แบบอยู่ร่วมกับนักท่องเที่ยวมากมายที่แวะเวียนมาที่นี่ได้อย่างลงตัว
กิจกรรมแรกที่ผมไปถึงเชียงคานก็คือ ใส่บาตรข้าวเหนียว ที่นี่ทุกเช้าจะมีพระมารับบาตรเป็นจำนวนมาก ภาพที่ผมเห็นนี่มันหายากมากในกรุงเทพ แต่ที่นี่คือเรื่องปกติประจำวัน ผมแนะนำว่าเราควรโทรบอกที่พักไว้เลยว่าอยากใส่บาตรด้วย ซึ่งเขาก็จะเตรียมเอาของเอาไว้ให้ หรือถ้ามาไม่ทันจริงๆ ก็รอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้ไม่เสียหายอะไร ครั้งนี้ผมถือว่าโชคดีมากที่ได้ใส่บาตรก่อนเริ่มทริปเที่ยวเชียงคาน เรียกได้ว่าเป็นการใส่บาตรเอาฤกษ์เอาชัยให้ตัวเองและเพื่อนร่วมทริปปลอดภัยไชโยตลอดการเที่ยว และหลังจากที่ใส่บาตรกันเสร็จเรียบร้อยก็เข้าที่พักแบบโฮมสเตย์ แล้วจัดการอาบน้ำในอุณภูมิเกือบ 18 องศา โอ้ว!! เจออากาศแบบนี้อย่าเรียกว่าอาบเลย แค่เดินผ่านน้ำได้ก็ถือว่าเก่งแล้วละ (ฮา)
สัมผัสแรกที่ได้รู้จักกับเชียงคาน ผมรู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมือนเมืองให้คนมาเที่ยวสักเท่าไร แต่เหมือนเชียงคานกำลังส่งเสียงชวนให้เรามาอยู่ยาวมากกว่าแค่มาสัมผัสแล้วก็จากไป เชียงคานกำลังกระซิบอะไรบางอย่างกับผมอยู่ ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วจะหาว่าผมบ้าก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะโกรธหรอก หากแต่บรรยากาศของเชียงคานชวนให้เรามาอยู่ยาวเป็นเดือนจริงๆ ถนนหนทางที่มีคนเดินและคนขี่จักรยานมากกว่าจำนวนรถยนต์ ที่นี่ผมไม่เห็น 7-11 แต่เห็นร้านชำเล็กๆ มากมาย ที่ใครอยากจะขายอะไรก็เอามาวางหน้าบ้านดูจากของที่ขายแล้ว นอกจากนี้ยังมีร้านเล็กๆ น่ารักๆ ขายสินค้าที่ระลึกเก๋ๆ ของเชียงคานให้เดินจับจ่ายกันอย่างไม่รู้เบื่อ ซึ่งบางอย่างผมยังคิดเลยว่าเหมือนมาเล่นขายของมากกว่าที่จะหากำไรแบบจริงจัง ถึงแม้ผมจะเป็นคนเมืองที่อะไรๆ ก็ต้อง 7-11 แต่มาถึงนาทีนี้ผมรู้สึกว่า การเข้า 7-11 อาจเป็นเพราะบางทีเราไม่มีทางเลือกมากกว่า ไม่ไกลจากถนนหลักที่ใช้เดินในเชียงคานก็จะมีทางเดินริมแม่น้ำโขงที่มองไปฝั่งตรงข้ามก็คือประเทศลาวแล้ว อะไรมันจะลงตัวได้เท่านี้คงไม่มีอีกแล้วละ
ก่อนหน้าที่จะมาเชียงคานผมได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง (ซึ่งเป็นคนละคนกับที่เตือนว่าอย่ามาเชียงคาน) ว่า จะดีแค่ไหนถ้าเราใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ อะไรเป็นตัวกำหนดให้เราต้องมีจังหวะชีวิตที่ไม่สนใจคนรอบข้างนอกจากตัวเอง งานเหรอ? หรือว่าตัวเราเองต่างหาก? หรือว่าทั้งสองอย่างนั่นแหละทำให้เราต้องมีชีวิตที่ต้องดิ้นรนวิ่งหาโอกาสอยู่แบบนี้ เราวิ่งวุ่นจองโทรศัพท์ราคาแพง เราต้องต่อคิวซื้อโดนัทเพียงเพื่อให้รู้ว่ามันอร่อยยังไง หรือเราต้องรีบแย่งหาที่พักสวยๆ แล้วก็จัดการโหลดมันเข้าเฟสบุคเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า ฉันพักที่นี่นะ!! ผมไม่ได้บอกว่านี่คือเรื่องที่ไม่ดี แต่พยายามอยากให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างเสียใหม่ จริงๆ แล้วผมก็เป็นหนึ่งในคนที่วิ่งแย่งอะไรแบบนั้นบางเวลาเหมือนกัน (ฮา) สรุปแล้วการนั่งคุยในร้านอาหารกับเพื่อนก็ยังคงไม่ได้ข้อสรุปอะไรไปกว่า เราอาจจะชินกับการมีชีวิตที่รวดเร็ว สังเกตว่าผมใช้ ‘ชิน’ นะครับ ไม่ใช่ ‘ชอบ’ . . .
ผมนั่งอยู่บนราวเหล็กตรงทางเดินริมแม่น้ำโขงมองเรือยนต์ที่กำลังวิ่งอย่างเอื่อยๆ จังหวะที่เชื่องช้า เวลาผ่านไปไม่มีความหมายเลยจริงๆ สำหรับคนเมืองอย่างผมที่ต้องเจอกับสภาวะเร่งรีบทุกวัน ทุกเวลา แน่นอนว่าการมาเบรกจังหวะชีวิตที่เชียงคานถือว่าเป็นบุญกับชีวิตมาก ต่อให้เป็นการเบรกแบบหัวทิ่มก็ไม่โกรธเลยแหละนาทีนั้น นอกจากนี้บริเวณใกล้เชียงคานก็มีที่เที่ยวมากมาย ให้ลองไปตามหาความสุขกัน ไม่ว่าจะเป็นขึ้นไปชมทะเลหมอกที่ภูเรือ แวะนั่งกินข้าวที่แก่งคุดคู้หรือไม่ก็ห้วยกระทิงและไปไหว้พระที่พระธาตุศรีสองรัก จัดทริปเล็กๆ แบบวันเดียวเที่ยวใกล้ที่พักแล้วค่อยกลับมาเดินเล่นรอบเชียงคาน แค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็เดินครบแล้ว จากนั้นก็ไปนั่งชิลที่ร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเท่านี้ ก็ถือว่าจบทริปแบบสวยงามประทับใจได้ดีเลยทีเดียวแหละ
เชียงคานเหมาะกับคนที่ชื่นชอบความสงบ ไม่ติดแสงสี และพร้อมที่นั่งนิ่งๆ แบบมีแค่หนังสือดีๆ สักเล่ม ชาร้อนสักถ้วยโดยที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ มองคนเดินไปมาก็มีความสุขแล้ว ส่วนเรื่องบรรยากาศความสวยงามถ้าคุณมาหน้าหนาวก็จะได้บรรยากาศที่ดีกว่าหน้าร้อนอยู่แล้ว แนะนำเลยละกันว่า ถ้าเชียงใหม่ ปาย หรือยังไม่มีเวลาไปเมืองเหนือขนาดนั้น ก็ลองแวะมาที่เชียงคานดูสักหน่อย แล้วจะรู้ว่าที่ผมพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตให้ช้าลงนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริง อ่านมาถึงตรงนี้ถ้าคุณไม่เชื่อที่ผมเขียนมา ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก . . .รบกวนเก็บกระเป๋าแล้วไปสัมผัสเชียงคานด้วยตัวเองโดยเร็วเถอะครับ!!!
Travel Tips
– เช่าจักรยานขี่สัมผัสบรรยากาศเชียงคานชมบ้านไม้เก่าๆสวยๆ หรือปั่นแถวทางเดินริมแม่น้ำโขงก็ได้ แล้วคุณจะอิจฉาคนที่นี่
– ส่วนใหญ่ช่วงบ่ายๆ จะเงียบไม่ค่อยมีอะไรแนะนำว่าไปหาที่กินข้าวกลางวันแถวๆ แก่งคุดคู้หรือห้วยกระทิง ก่อนกลับมาเดินเล่นที่เชียงคานในช่วงสัก 4 – 5 โมงเย็น
– ตอนกลางคืนคึกคักน่าดู เพราะจะกลายเป็นถนนคนเดิน ยิ่งมาช่วงที่เชียงคานมีจัดงานละก็ประทับใจไม่รู้ลืม
– ของฝาก handmade จากร้านเก๋ๆ มีให้เลือกมากมาย แวะเวียนไปช่วยอุดหนุนกันหน่อยจะดีมาก
– ช่วงเช้าข้าวเหนียวดำ-หมูปิ้ง ก๋วยจั๊บญวน ช่วงบ่ายร้อนๆ ก็น้ำแข็งใส และไอติม ร้านไหนก็ได้ ห้ามพลาด!!
– ที่นี่เกสต์เฮาส์ส่วนใหญ่จะไม่มีแอร์ เพราะมันจะไร้ค่าทันทีถ้าคุณมาหน้าหนาว Simply to basic สุดๆ (ปล. ที่พักราคาถูกมาก 350 บาท แต่คุณสามารถนอนห้องติดริมแม่น้ำโขงได้)
– ถ้านึกอะไรไม่ออกของฝากยอดฮิตของที่นี่คือ มะพร้าวแก้ว[fblike]