สิ่งที่ผู้ผลิตรถยนต์ให้มาเป็นข้อมูลสำคัญในการเลือกซื้อรถ แสดงอยู่ใน อีโค สติกเกอร์ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรถยนต์นั้นๆที่บรรดาผ้ผลิตไม่อยากเปิดเผยแต่ด้วยความคิดก้าวหน้าของ ภาครัฐที่ต้องการให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวรถและการนำข้อมูลไปใช้ในการประกอบการจัดเก็บภาษี อีโค สติกเกอร์จึงเกิดขึ้นเมื่อ 1 ต.ค. 2558 แต่ทว่ามันเกือบถูกลืมไปแล้วในแง่ของความสำคัญในสายตาผู้บริโภคECO Sticker

ข้อมูลเชิงลึกที่เชื่อถือได้

      ป้ายแสดงข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (ECO Sticker) ที่ประกอบด้วยข้อมูลคุณลักษณะ คุณสมบัติ และสมรรถนะของรถยนต์ตามมาตรฐานสากลของสหประชาชาติ (United Nation–UN) ซึ่งได้รับการตรวจสอบและรับรองโดยประเทศภาคีสมาชิก UN WP29 และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

ECO Sticker  แสดงสมรรถนะต่างๆ ของรถยนต์ เช่น อัตราการใช้น้ำมันอ้างอิง (หน่วย ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร) และระดับความปลอดภัยของรถยนต์ ได้แก่ มาตรฐานการปกป้องผู้โดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าของตัวรถ มาตรฐานการปกป้องผู้โดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านข้าง และมาตรฐานด้านความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Active Safety) เป็นต้น
ข้อมูลดีๆ ต้องอีโค สติกเกอร์

        รถยนต์ที่ติดอีโค สติกเกอร์  ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่า รถยนต์คันนั้นไม่ใช่รถยนต์ตกรุ่นหรือรถยนต์ค้างสต๊อก เพราะแสดงวันเดือนปีที่ผลิต และยังมั่นใจได้ว่า ได้รับการตรวจสอบและรับรองโดยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ
 ทั้งนี้ ประเทศไทยเริ่มใช้อีโค สติกเกอร์ มาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2558 โดยเมื่อวันพุธที่ 2 ก.ย. 2558กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมีนายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) ได้ออกประกาศเรื่อง การแสดงข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล ตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปได้รับข้อมูลสมรรถนะรถยนต์ที่เที่ยงตรง โปร่งใส และเป็นมาตรฐานเดียวกัน สามารถนำไปเปรียบเทียบคุณสมบัติของรถยนต์แต่ละรุ่น เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ได้ รวมทั้ง เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐในการตรวจสอบมาตรฐานรถยนต์และการจัดเก็บภาษีตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่
 
 โดยผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะต้องติด ECO Sticker ไว้ที่รถยนต์ใหม่ทุกคัน ก่อนที่จะส่งรถยนต์คันนั้นไปยังผู้จำหน่ายรถยนต์ในเครือข่าย (Dealer) หรือสถานที่จัดแสดงรถยนต์ หรือสถานที่จำหน่ายรถยนต์ อย่างไรก็ตาม จะมีการยกเว้นให้กับรถยนต์ตกรุ่นหรือรถยนต์ค้างสต็อก ซึ่งหมายถึง รถยนต์รุ่นที่ผลิตในประเทศที่ได้ยุติสายการผลิตหรือรถยนต์ที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนวันที่ 1 มิ.ย. 58 ไม่จำเป็นต้องติด ECO Sticker

ย้อนอดีตอีโค สติกเกอร์

        ประกาศฉบับดังกล่าวได้กำหนดให้ผู้ที่จะขอลงทะเบียนที่สามารถยื่นขอป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล หรือ ECO Sticker นั้น ต้องเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ารถยนต์เพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ รวมทั้ง กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับ ECO Sticker ซึ่งประกอบด้วย รูปแบบ ขนาด และคำอธิบายต่างๆ โดย ECO Sticker จะมีขนาดเท่ากระดาษ A4 ติดไว้ที่กระจกบังลมด้านหน้า (Windshield) หรือไว้ที่กระจกด้านข้าง (Side Window) ในตำแหน่งที่สามารถอ่านข้อมูลจากด้านนอกตัวรถยนต์ได้อย่างสะดวกและชัดเจน โดยผู้ซื้อรถยนต์หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ในการปลด ECO Sticker ทั้งนี้ ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ผู้บริโภค และประชาชนทั่วไป สามารถดาวน์โหลดประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ www.car.go.th

นอกจากนี้ เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปในการเข้าถึงการแสดงข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากลตามแนวทางประกาศฉบับนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้กำหนดเปิดตัวเว็บไซต์ www.car.go.th  (เริ่มธ.ค.58) โดยเว็บไซต์จะเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับ ECO Sticker รายละเอียดและสมรรถนะจริงของรถยนต์แต่ละคันให้กับผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป ซึ่งรวมถึงการแสดงข้อมูลอัตราการใช้น้ำมันที่แท้จริงของรถยนต์แต่ละรุ่นที่อยู่บนมาตรฐานเดียวกัน สามารถนำไปเปรียบเทียบประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ได้

  1ปีที่ถูกลืม

 

แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกของอีโค สติกเกอร์ โดยเฉพาะเรื่องการประหยัดน้ำมันที่มีการทดสอบเป็นมาตรฐานแต่ดูเหมือนว่า ข้อมลในอีโค สติกเกอร์ ถูกนำมาประกอบการตัดสินใจซื้อรถเพียงน้อยนิดหรือแทบจะไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคชาวไทยเลย ตลอด1ปีที่มีอีโค สติกเกอร์เกิดขึ้นมา ข้อมูลสำคัญอย่างอัตราการปล่อยมลพิษ กับอัตราการบริโภคน้ำมันของรถ ซึ่งถือว่าเที่ยงตรงมากไม่มีอิทธิพล  เมื่อปัจจัยอื่นๆ ในการเลือกซื้อรถเช่น รูปทรง เงื่อนไขการผ่อนชำรอและการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ  ในขณะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงก็ลดลงความสนใจเรื่องประสิทธิภาพของรถที่ประหยัดน้ำมันก็ลดลงไปด้วย

บทสรุป
อย่างไรก็ตามเรายังเห็นว่า “อีโค สติกเกอร์” ยังมีความจำเป็น ต้องรอให้ผู้บริภาคชาวไทยมีความแข็งแกร่งและบ่มเพาะประสบการณ์ที่มากกว่านี้  และสนใจหาข้อมูลมากกว่าเชื่อโฆษณา  รวมถึงไม่นานหากปัจจัยทางด้าน ราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลง จะการตื่นตัวทางด้านการมองหาข้อมูลเรื่องประหยัดน้ำมันอีกครั้งผู้บริโภคจะหันมาสนใจอีโค สติกเกอร์กันอีกครั้ง ในขณะที่ภาครัฐต้องหันมากระตุ้นให้ ผู้บริโภค สนใจเรื่องข้อมูลในอีโค สติกเกอร์มาขึ้นด้วย[fblike]