สภาพอากาศบนท้องถนนเต็มไปด้วยละอองฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ รวมถึงมลพิษต่าง ๆ ทั้งเขม่าควันจากท่อไอเสีย ฝุ่นผงผ้าเบรก ฯลฯ ส่งผลกับสุขภาพอนามัย และทำให้มีอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้หืดหอบ รวมถึงอาการผื่นคันเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งละอองฝุ่น และมลพิษต่างๆ สามารถผ่านเข้าไปในห้องโดยสารภายรถยนต์ได้ หากกรองอากาศภายในห้องโดยสารที่ติดตั้งไม่มีคุณภาพ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองผู้ผลิตรถยนต์ได้ตระหนักถึงคุณภาพความสะอาด และอัตราการไหลเวียนของอากาศภายในห้องโดยสารจึงคิดค้นและพัฒนาออกแบบให้รถยนต์รุ่นใหม่ๆ สามารถติดตั้งระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสารที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ไส้กรองอากาศภายในห้องโดยสารหรือที่รู้จักในชื่อ “กรองแอร์” มีคุณสมบัติโดดเด่นสามารถกรองสิ่งแปลกปลอมที่ลอยปะปนมาในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ละอองจากฝุ่น สปอร์ของพืช เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ กลิ่นอับ ควันบุหรี่ รวมถึงก๊าซพิษ สิ่งเจือปนที่ลอยมากับอากาศดังกล่าวเป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ หืดหอบ ไม่เฉพาะในผู้ใหญ่แต่รวมถึงทุกคน โดยเฉพาะเด็กที่นั่งรวมอยู่ในห้องโดยสาร
สำรวจคุณภาพไส้กรองแอร์
วัสดุที่ผลิตไส้กรองควรเป็นเส้นใยชนิดพิเศษไม่ถักทอ หรือเรียกว่า Non-woven เส้นใยธรรมชาติปราศจากกลิ่นและสารเคมี วัตถุดิบสำคัญในการผลิตไส้กรองอากาศ ประกอบด้วยเส้นใยขนาดเล็กจำนวนมาก ซึ่งโครงสร้างของเส้นใย เหล่านี้จะสามารถกรองฝุ่นและอนุภาคของเขม่าต่างๆ ที่มีขนาดเล็กเพียง 0.1 ไมครอน จึงทำให้การไหลเวียนของอากาศสะดวกมากขึ้นเนื่องจากมีค่าต้านทานการไหลของอากาศต่ำ จึงมีประสิทธิภาพคงที่ตลอดอายุการใช้งาน
วัสดุกรองระบบปรับอากาศในรถยนต์
– วัสดุกรองที่ทำหน้าที่กรองเฉพาะละอองฝุ่น (Particle Filters) โดยวัสดุชนิดนี้จะทำหน้าที่กรองละอองฝุ่น และอนุภาคต่างๆ เช่น ละอองเกสร เขม่าควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรือฝุ่นจากยางรถยนต์เพื่อให้ไม่สามารถเข้ามาภายในห้องโดยสารได้ การพับจีบที่วัสดุกรอง เป็นเทคนิค ที่ทำให้มีพื้นที่ในการกรองเพิ่มมากขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนขนาดของกรองอากาศให้มีขนาดใหญ่ อีกทั้งผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการสามารถยืนยันได้ว่าสามารถกรองอนุภาคของฝุ่นละออง และถูกกักเก็บอยู่ในวัสดุกรองชนิดนี้ได้มากถึง 99%
ความต่างกรองคาร์บอนกับใส้ํธรรมดา
– จะเห็นว่าในตลาด มีวัสดุกรอง 2 ชนิดคือ แบบสีดำๆ ที่เรียกว่า คาร์บอน และแบบกระดาษสีขาว ซึ่งคาร์บอนราคาจะแพงกว่าเกือบ 1 เท่าตัว
สำหรับ กรองที่มีคาร์บอนจะทำหน้าที่กรองกลิ่นและก๊าซพิษได้ดีกว่า โดยใส้กรองชนิดนี้ผสมผงถ่านกัมมันต์ในวัสดุกรอง (Combi-Filter) ซึ่งวัสดุชนิดนี้มีประสิทธิภาพการกรองอากาศที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุกรองแบบทั่วไป ในชั้นของแผ่นกรองจะบรรจุผงถ่านกัมมันต์ และหุ้มด้วยใยสังเคราะห์ทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำ ทำการดูดซับก๊าซที่เป็นอันตราย เช่น ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ไอน้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ รวมถึงโอโซนที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตา จมูก และทำลายเนื้อเยื่อปอด โดยวัสดุชนิดนี้สามารถกรองโมเลกุลที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 10,000 เท่า จึงทำให้อากาศที่ผ่านการกรองมาแล้วนั้นเป็นอากาศที่บริสุทธิ์ส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้ที่อยู่ภายในห้องโดยสาร
อายุการใช้งานของกรองแอร์?
เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนกรองอากาศ หรือกรองแอร์? อาจเป็นคำถามที่หลายคนมักไม่ค่อยให้ความสนใจ โดยทั่วไปรถยนต์แต่ละคันมีระยะในการใช้งานของกรองอากาศต่างกัน รถยนต์บางรุ่นอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนทุกๆ 20,000 กม. หรือมากกว่านั้น
ในขณะที่รถยนต์บางรุ่นอาจมีระยะเวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนกรองอากาศทุกๆ 6 เดือน ซึ่งการเปลี่ยนกรองบ่อยครั้งย่อมทำให้อากาศที่ไหลเวียนเข้าสู่ห้องโดยสารเป็นอากาศที่ให้ความบริสุทธิ์ตามไปด้วยเช่นกัน แต่หากต้องการยืดอายุการใช้งานของกรองให้เพิ่มมากขึ้นแนะนำให้เปลี่ยนอย่างน้อยปีละครั้ง หรือสังเกตลมจากเครื่องปรับอากาศ หากมีลมออกมาอ่อนกว่าปกติ หรือมีกลิ่นเหม็น นั่นแสดงให้เห็นว่าได้เวลาที่คุณต้องเปลี่ยนกรองแอร์ให้กับรถคุณแล้ว[fblike][useful_banner_manager banners=1 count=1]