มอนสเตอร์ คือ ซิกเนเจอร์ ของค่ายในช่วงก่อสร้างตัวก็ว่าได้ ทำให้มอนเตอร์ได้รับการยอมรับมาจนถึงทุกวันนี้ ล่าสุดที่ขายคือ มอนเตอร์ 1200 และ 1200s ให้บรรดาสาวกอสูรได้กลืนน้ำลายโดยตั้งค่าตัวของ 1200 ไว้ที่ 8.99แสน บาท ส่วน 1200s อยู่ที่ 1.09ล้าน บาท
มอนสเตอร์ เป็นรถที่ไร้อาภรณ์ประดับกายได้โชว์มัดกล้ามและขุมพลังอย่างเต็มที่ เป็นผลพวงมาจากความบังเอิญที่ทางผู้บริหารได้เห็นรถสปอร์ต ถอดแฟริ่งของดูคาติที่พนักงานได้ดัดแปลง จึงเป็นโชคของพนักงานคนนี้ ที่ได้ร่วมทีมออกแบบมอนสเตอร์ด้วยเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของมอนสเตอร์ทั้งสองรุ่นทางดูคาติได้จัดเส้นทางกรุงเทพฯมวกเหล็กสระบุรี โดยมีทิวทัศน์สวยๆสองข้างทางรวมถึงอุโมงค์ต้นไม้ให้ได้สัมผัสกัน
เริ่มจากดูคาติ มอนสเตอร์ 1200 ที่ออกแบบให้มีความเป็นรถในตระกูลมอนสเตอร์ มีความโดดเด่นด้วยสีแดงสด มีฝาพลาสติกรอบทับเบาะนั่งด้านหลัง ให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตมากขึ้น
เบาะนั่งปกติจะสูง 810 มม. สำหรับคนเอเซียสูง170 ซม. สามารถวางเท้าทั้งสองข้างได้ครึ่งฝ่าเท้า ถ้าเอียงรถเล็กน้อยก็วางได้เต็มฝ่าเท้าหรือจะลดเบาะต่ำสุดเหลือ 785 มม. ก็สามารถทำได้ ด้วยการปรับแกนเบาะให้อยู่ในช่องล่างสุดแล้ว ถอดตัวรองเบาะออก 2 ชิ้น แค่นี้ก็ได้เบาะเตี้ยๆ สำหรับการใช้งานในเมืองแล้ว
แต่เวลาเดินทางไกลระดับเบาะปกติจะให้ความรู้สึกในการควบคุมรถได้ดีกว่า จากท่านั่งที่เอนมาทางด้านหน้ามากกว่าเบาะเตี้ยๆ อีกทั้งเบาะที่กว้างช่วยให้มีพื้นที่ขยับก้นบ้างเมื่อต้องการจะหมอบลดกระแสลมปะทะได้อีกต่างหาก
ถึงตัวรถจะมีขนาดตัวถังใหญ่กว่า 796 โดยมีน้ำหนักตัว 209 กก.ก็ตาม แต่การควบคุมก็ทำได้ไม่ยากจากแฮนด์ที่กว้างแบบรถวิบาก ช่วยลดแรงในการหักเลี้ยวได้เยอะ รวมถึงการบาลานซ์น้ำหนักที่ดีส่งผลให้การทรงตัวในความเร็วต่ำๆ ก็ไม่เหนื่อยมาก
ล้อ 5 ก้านคู่ของเอนไก ขนาด 3.50×17 นิ้ว ด้านหน้าใส่ยางพีเรลลี่ ไดอะโบล รอสซี่ ll ล้อหลังขนาด 6.00 x 17 นิ้ว ใส่ยาง 190/55 แซด อาร์ 17 โดยมีพื้นฐานล้อ 1511 ม.ม. โดยวางตำแหน่งโช้คอัพหน้า มีระยะแกรล 93.2 มม. มุมแร็ค 24.3 องศา
โช้คอัพหน้าหัวกลับสีเงินปรับได้ขนาด 43 มม. ช่วงยุบ 130 มม. หลังเป็นโช้คอัพเดี่ยว สปริงสีเหลืองยึดติดกับสวิงอาร์มอลูมิเนียมแบบโปรอาร์ม ปรับระดับได้ มีช่วงยุบ 152 มม.
ด้วยทรวดทรงที่ดูเพรียว แม้จะมีถังน้ำมันขนาดใหญ่ จุ 17.5 ลิตร แต่ก็ได้มีบั้นท้ายที่เรียวมาชดเชยโดยย้ายแผ่นป้ายทะเบียนมาไว้ หลังล้อแทนที่จะห้อยตรงท้ายแบบรถทั่วๆ ไป
เครื่องยนต์ แอล-ทวิน Testastretta 11 องศา 4 วาล์วต่อสูบ ระบบวาล์วแปรผัน เดสโมโดรมิก ใช้การระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำทรงโค้งช่วยระบายความร้อนได้ดี โดยเฉพาะตอนเจออากาศร้อนๆ
เครื่องยนต์จะยึดติดกับเฟรมเหล็กทรงกลมแบบ Tubular ซึ่งจะยึดด้านบนของเครื่องยนต์เอาไว้ จึงไม่ไปเกะกะท่อไอเสียด้านหน้าที่โค้งขึ้นและท่อโค้งลงด้านหลังแล้วยกปลายท่อคู่ขึ้น ไม่สูงนัก
ปลายท่อไอเสียจะเป็นสีตะกั่ว เป็นท่อคู่ที่ให้เสียงดุดันพอสมควรในการใช้งาน เครื่องยนต์สามารถเลือกโหมดได้ด้วยปุ่มกดด้านซ้ายของแฮนด์ ถ้าเลือกโหมดสปอร์ตก็จะได้กำลังเต็มๆ 135 แรงม้า ที่ 8,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 7,250 รอบต่อนาที
ระบบส่งกำลังใช้เกียร์ 6 สปีดคลัตซ์เปียกเรียกรอบเครื่องยนต์ออกมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว แต่โหมดสปอร์ตจะเหมาะกับเส้นทางลาดยางมากกว่าคอนกรีต เพราะช่วงล่างแข็งๆ จะรู้สึกกระด้างหน่อยแต่ได้ฟิลลิ่งที่ดุดันแบบเต็มๆ
ลดโทนลงมากับโหมดทัวริ่ง ใช้ได้ดีกับการเดินทางไกลแบบไม่เลือกถนน แม้ว่าการเรียกกำลังออกมาช้ากว่า แต่ก็ได้ความราบเรียบสำหรับการเดินทางไกลๆ
เข้าเมืองจะเจอรถติดๆ ก็ปรับเป็นโหมดการใช้งานในเมือง แรงม้าแรงบิดลดลง แต่คุมรถง่ายกว่าตอนบิดคันเร่ง อาการกระชากของรถมีน้อยกว่า ไม่ต้องเกร็งเวลาเลี้ยงคันเร่งหรือคุมความเร็วแบบต่ำๆเอาไว้
อาการดุดันแบบกระชากช่วงความเร็วต่ำมีให้เห็นชัดเจน ส่วนการหยุดความเร็วที่มีก็เอาอยู่ด้วยเบรกหน้าคู่ แบบดิสก์เบรก ขนาด 320 มม. ใช้แม่ปั้มเบรกเบรมโบ โมโนบล็อก เอ็ม 4-32แบบ 4 ลูกสูบ พร้อมเอบีเอส หลังเป็นดิกส์เบรกเดี่ยว แบบ 2 ลูกสูบ จานเบรก 245 มม. พร้อมเอบีเอสเพื่อความมั่นใจเวลาหยุด[fblike]