เรามีโอกาสได้ทดลองขับ รถตรวจการณ์รุ่นใหม่ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 58 ที่ผ่านมาโดยบริษัท มิตซูบิชิ ได้ชวนสื่อร่วมกิจกรรมทดสอบสมรรถนะรถยนต์ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ โดยใช้เส้นทาง กรุงเทพ – เขาค้อ – กรุงเทพและนี่คือรายงานที่เราสรุปว่า “ล้ำทุกองศา” โดยระยะทางโดยรวมทั้งหมดประมาณ 772 กิโลเมตร โดยจะได้ทดสอบ ทั้งแบบ On-Road และ Off-Roadเรียกว่ากำหนดการครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบสมรรถนะอย่างครบถ้วน ผมได้เกียรติจากทาง บริษัท มิตซูบิชิ ให้ไปร่วมกิจกรรมในการทดสอบครั้งนี้ ในวันนี้ผมจะมาเจาะลึกและบอกความรู้สึกหลังจากที่ผมได้ไปทดสอบการขับมาแล้วทั้ง 2 แบบอย่างถึงพริกถึงขิงกันเลยนะครับ
รู้จักปาเจโร สปอร์ต
ถ้าจะว่ากันให้ถ่องแท้แล้วรถยนต์แบบปาเจโร สปอร์ต เราเรียกว่า เป็นรถเอสยูวีหรือรถตรวจการณ์ แต่ในทางกฏหมายที่เสียภาษีสรรพสามิต กรมสรรพสามิตจัดกลุ่มรถประเภทนี้ว่าเป็นพีพีวี หรือรถที่พัฒนาจากอนุกรมของ กระบะที่ต้องมีหลักการสำคัญคือต้องพัฒนาจากแชชซีส์ ของกระบะที่มีขายในประเทศดังนันจะเห็นว่า อดีตที่ผ่านมารถแบบนี้หน้าตา เรือนร่างมันคือกระบะนำมาเสริมที่นั่งโดยสารให้สะดวกสบายขึ้นกฏหมายช่วงแรกกำหนดเงื่อนไขว่าโครงสร้างทุกอย่างต้องใช้แบบกระบะเป๊ะๆ ทำให้รถมีแหนบเป็นช่วงล่างหลังและมีเรื่องของตัวถังยาวเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งตัวถังยาวนี้ไม่ใช่ข้อกำหนดเสียทีเดียวแต่ มีเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญคือ จะต้องใช้พื้นฐานกระบะที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ ทีนี้บางค่ายไม่มีกระบะแบบช่วงสั้นขายก็เลยต้องเอาตัวยาวมาทำทำให้รถยาวมากอย่างเช่น มิว เซเว่น เป็นต้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ได้ความใหญ่โตและพื้นที่ใช้งานลงมา แต่หากใครมีรถช่วงสั้นก็จะทำให้รถพีพีวี สั้นกระชับตาม สมส่วนแบบรถเอสยูวีแท้ๆ ซึ่งเงื่อนไขนี้เป็นที่มาว่าเวลาเราเห็นตัวกระบะใหม่ออกมักจะมีการประกาศว่ามีช่วงสั้นขายด้วย ทำจริง ขายจริงแต่ขายมากขายน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีการแก้ไขรถพีพีวี ให้เงื่อนไขเอื้อต่อการพัฒนารถสมัยใหม่และเป็นที่มาของ พีพีวี ไฮเทคเต็มรูปแบบ ส่วนที่เถียงกันจะเป็นจะตายต่อว่าต่อขานกัน ว่าจะเรียกอะไรแน่รถแบบนี้ก็แล้วแต่คนเข้าใจ ส่วนเราเรียกมันว่า รถตรวจการณ์ก็ดีนะเข้าใจง่ายดี
พรีวิวไลน์อัพปาเจโรสปอร์ต มีอะไรบ้าง ต่างกันอย่างไร
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ เปิดทำตลาดด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น คือ รุ่น GLS-LTD,GT และ GT-Premium ทั้ง 3 รุ่นใช้เครื่องยนต์บล๊อกใหม่ขนาดเดียวกัน คือ เครื่องยนต์ MIVEC 2.4 (2,442) ลิตร เทอร์โบ 4 สูบ 16 วาล์ว 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที ผมจะพรีวิวรุ่นที่ผมได้มีโอกาสทดสอบก่อน คือตัว GT ขับเคลื่อน 2 ล้อ มีห้องโดยสารเหมือนกับรุ่น GT Premium มีพวงมาลัย แบบมัลติฟังก์ชั่นที่สามารถควบคุมเครื่องเสียงด้วยระบบสัมผัส เล่นได้ทั้ง DVD,CD,MP3,แฟรชไดรฟ์,SD Card,และระบบนำทางในรถยนต์ พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth แบบ A2DP (เฉพาะรุ่น GT-Prepium,GT)
มิตซุบิชิ ปาเจโร สปอร์ตรุ่นใหม่ เน้นในเรื่องสิ่งความบันเทิงพอสมควรครับ มีการติดตั้งจอภาพ Wide Screen พร้อมเครื่องเล่น DVD ที่สามารถเล่นแยกจากระบบเครื่องเสียงด้านหน้าเข้าไปในหูฟังได้เลย เช่นคนขับดูหนังอีกเรื่องนึงอยู่ แต่คนข้างหลังอยากดูการ์ตูนอาจจะเป็นลูกๆหรือเด็กๆที่โดยสารมาด้วย ก็จะมีหูฟังแยกเสียงให้ต่างหาก โดยทางมิตซูบิชิ มีหูฟังอินฟราเรดมาให้ 2 ชุด สำหรับผู้โดยสารแถวสอง พร้อมรีโมทควบคุมเครื่องเล่น มีเฉพาะรุ่น GT และ GT-Premium นะครับ และระบบ Push Start มีมาให้เหมือนกันทุกรุ่น ส่วนเทคโนโลยีที่ GT ขับเคลื่อน 2 ล้อไม่มีเหมือนที่ GT Premium ขับ 4 ล้อมีคือ ระบบเตือนการชนด้านหน้า พร้อมช่วยชะลอความเร็ว ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งแบบรุนแรงและรวดเร็ว และระบบกล้องมองรอบคัน พร้อมเส้นกะระยะ และเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ กระจกมองหลังปรับลดแบบแสงสะท้อนอัตโนมัติในตัวที่พูดถึงนี้ตัว GLS-LTD ไม่มีเลย
ถนนดำเจอตัวรอง
สำหรับตัวแรกที่มิตซูบิชิ จัดให้ผมได้ออกทริปนั้นคือตัว มิตซูบิชิ พาเจโร สปอร์ต GT 2WD เครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ 2.4 ลิตร 181 แรงม้า เกียร์ออโต้ 8 สปีด คือตัวรองทอปนั่นเองนะครับ โดยตัวนี้มีระบบต่างจากตัวทอปครบแต่ จะไม่มีระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ ไม่มีสัญญาณเตือนเมื่ออยู่ในมุมอับตา และไม่มีกล้องมองรอบคัน จุดที่เป็นไฮไลท์ ที่ถือเป็นจุดเด่นสำคัญ ของทางมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต
ผมได้ลองขับรู้สึกเลยว่า ห้องโดยสารกว้างเก็บเสียงได้ดีเลยนะครับ จากนั้นลองไปนั่งทั้ง เบาะผู้โดยสาร และ เบาะแถว 2 ความรู้สึกเหมือนมาด้วยกันคนละคัน คือความรู้สึกตอนนั่งคู่หน้า นิ่มมากนะครับ การทรงตัวเยี่ยมรู้สึกสบาย ต้องบอกก่อนนะครับเบาะคู่หน้าเป็นระบบไฟฟ้า ปรับได้ 8 ทิศทางทั้งสองฝั่ง แต่พอได้นั่งแถว 2 การทรงตัวยังรู้สึกมีอาการเมารถอยู่ครับถ้านั่งรถระยะไกลๆเราต้องจอดพัก เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น คือ ความนิ่มของช่วล่างที่ทำให้ตัวถังโยกออกข้างๆ ในขณะที่ช่วงล่างแบบนี้ ตัวรถจะซับแรงสะเทือนจากถนนได้มากกว่าปกติ
การเข้าเกียร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ทำได้อย่างสะดวกสบาย และช่วงวงพวงมาลัยที่กระทัดรัด ทำให้การบัคับรถตอนเข้าโค้งรู้สึกว่าง่ายขึ้นมากครับ และด้วยเกียร์ที่มีถึง 8 เกียร์สปีด ทำให้รถขับได้มันส์เอามากๆเลยครับ จังหวะเร่งอัตราความเร็วจาก 5 ,6, 7, 8 ในโหมด +/- ยิ่งทำได้เนียนมากเลยครับ และที่สำคัญสำหรับรถ ปาเจโร รุ่นนี้คือ ถ้าเราจอดติดไฟแดงด้วยเกียร์ D ระบบ INC ก็จะตัดกำลังส่งไปยังเพลาแบบเกียร์ว่าง ช่วยลดการสึกหลอ และประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วยนะครับ และยังมีออพชั่น เบรกมือไฟฟ้า ทำให้ง่ายต่อการจอด โดยการขับ On-Road ขับง่ายนั่งสบายถึงเขาค้อโดยปลอดภัยครับ
ออฟโรดเจอตัวล้ำ
และต่อไปเป็นอีก 1 บททดสอบที่ขาดไม่ได้เลยนะครับ คือ Off – Road โดยทางมิตซูบิชิได้ให้ผมไปทดสอบขับ Off – Road โดยใช้ตัวรถรุ่น GT Premium 4 WD ในการขับขี่ลุยเข้าไปในป่าแถวที่พักนั่นละครับ โดนเส้นทางจะเป็นแบบขึ้นเขา และลงเขาเส้นทางเป็นวงกลมโดยมีพื้นผสมขี้เลนหน่อยๆ และขับข้ามแม่น้ำโดยใช้ซุงเป็นเหมือนสะพานข้าม ก็ยังถือว่าเป็นทดสอบที่ไม่ได้โหดหินอะไร ด้วยระบบซัพพอทของรถที่มันสุดยอดอยู่แล้วทำให้การขับขี่รู้สึกปลอดภัยและรู้สึกขับง่ายมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีต่างๆที่มีกล้องรอบคันและระบบกล้องแบบ Bird’s eye view ทำให้การมองเห็นทัศนียภาพต่างๆเป็นไปอย่างง่ายดาย และอีก 1 จุดเด่นของ ปาเจโร สปอร์ต ตัวท็อปนี่คือการขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ All Wheel Control ที่รวมระบบ Full time กับ Pard time เอาไว้ด้วยกัน หรือชื่อย่อๆในระบบคือ 4×4 LLC ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างง่ายดาย ทั้งระบบการเซทติ้งค่าพื้นผิวถนนต่างๆ ก็สามารถทำได้ดีในรถพาเจโร สปอร์ตตัวใหม่นี้ด้วย
สรุปเลยนะครับ คุ้มทุกบาททุกสตางค์ครับ ในแง่ของความเร็ว การประหยัดน้ำมัน หรือเทคโนโลยีต่างๆ โดยตัวรถที่เน้นความคล่องตัว เดินทางสะดวกสบายทั้งในเมืองและนอกเมือง ระบบเกียร์สุดยอดเข้าเกียร์ได้ง่าย การดีไซน์ออกแบบมาอย่างสวยงามและแปลกหูแปลกตาทั้งภายในและภายนอก
ตารางราคา
*ราคา มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต GT-Premium 4WD 1,450,000. (ราคาพิเศษ 1,399,000. – 30 ก.ย. 58)[fblike]
